ทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ เหมือนกับเทคโนโลยีดีๆ ที่กลายเป็นดาบสองคมได้เช่นกัน ล่าสุดมีกรณียื่นฟ้องทางบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกเจ้าหนึ่ง โดยผู้ร้องอ้างว่า "AirTag" ทำให้พวกเธอถูกติดตามความเคลื่อนไหวจากบุคคลไม่พึงประสงค์
เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.2565 สำนักข่าวต่างประเทศ CNN รายงานว่า มีหญิงสองคนยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัท Apple ต่อศาลในซานฟราสซิสโก โดยระบุว่า ตั้งแต่เปิดตัว AirTag หรือที่ทางบริษัทเรียกว่า อุปกรณ์ป้องกันการสะกดรอยตาม เมื่อเดือน เม.ย. ปีที่ผ่านมา (2564) ทางบริษัทก็ไม่สามารถปกป้องผู้คนจากการค้ามนุษย์ที่เกิดขึ้นโดยใช้อุปกรณ์นี้ได้
AirTag เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับติดตามสิ่งของ มีขนาดเล็กใกล้เคียงกับเหรียญ 10 บาท มีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 3.2 เซนติเมตร และมีราคาเริ่มต้นที่ 29 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,000 บาท ผู้ใช้งานสามารถนำไปติดกับกุญแจ ใส่ในกระเป๋าสตางค์ กระเป๋าเป้ หรือสิ่งของต่างๆ เพื่อช่วยให้หาเจอเวลาทำหาย
ทางด้านผู้เชี่ยวชาญและหน่วยบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐฯ ระบุว่า คนบางกลุ่มนำอุปกรณ์นี้ไปใช้ก่ออาชญากรรมและใช้ในวัตถุประสงค์มุ่งร้าย เช่นเดียวกับกรณีนี้ โจทก์ที่ยื่นฟ้องระบุว่า AirTag กลายเป็นอุปกรณ์ที่ สตอล์กเกอร์ (Stalker) และผู้ที่ประสงค์ร้ายเลือกใช้ พร้อมทั้งระบุด้วยว่า อุปกรณ์นี้มีความเชื่อมโยงกับเหตุฆาตกรรมผู้หญิงในรัฐโอไฮโอและอินดีแอนา
1 ในโจทก์เล่าว่า เธอถูกแฟนเก่าตามตัวเจอ หลังจากเขาแอบติด AirTag ไว้ที่รถ ซึ่งหลังจากนั้นแฟนเก่าได้โพสต์ภาพที่ถ่ายในละแวกบ้านใหม่ของเธอ พร้อมอีโมจิขยิบตาและแฮชแท็ก #airt2.0
ส่วนโจทก์อีกคน เล่าว่า สามีที่ระหองระแหงกันตามตัวเธอจนเจอ หลังจากเขาแอบใส่ AirTag ไว้ในกระเป๋าเป้ของลูก
ทางบริษัท Apple ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้ แต่สำนักงานใหญ่ใน Cupertino รัฐแคลิฟอเร์เนีย ยอมรับว่า มีผู้ไม่ประสงค์ดีใช้ AirTag ในทางที่ผิด โดยเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ได้ประกาศแผนการอัปเกรดเพื่อให้ผู้ใช้งานค้นหาอุปกรณ์ได้ง่ายขึ้น และเตือนผู้ใช้ได้เร็วขึ้น ในกรณีที่มีผู้แอบนำ AirTag มาแอบติดไว้ใกล้ๆ
ที่มา : CNN