เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวฉันใด
ปฎิบัติการระเบิดพลีชีพของ“ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร”ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 จ.อุบลราชธานี ในการนำเงินที่ตกลงจะจ่ายให้กับนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จำนวน 9.8 หมื่นบาท พร้อมกับการจู่โจมเจอเงินจำนวนมาก ก็สั่นสะเทือนถึง “วราวุธ ศิลปอาชา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฉันนั้น
ไม่แค่ทำให้เก้าอี้ในตำแหน่งเจ้ากระทรวงฯร้อนจนเหงื่อตก แต่ยังส่งผลให้พรรคชาติไทยพัฒนาตกที่นั่งลำบากไปด้วย
แม้จะปฎิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่สังคมได้จับจ้องไปแล้วว่าที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติผิด(ป.ป.ป.)และเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ในฐานะหน่วยงานตรวจสอบจะขยายผลและสาวไปถึงใครบ้าง หรือจะตัดตอนแค่นายรัฐฎาคนเดียว ซึ่งอาจจะง่ายไป
ปฎิบัติการครั้งนี้มองผิวเผินอาจเหมือนแค่เป็นเหตุการณ์สุดทนของข้าราชการในกระทรวง แต่เบื้องหลังยุทธการหักลิ้นช้างในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง คงมองข้ามช็อตไม่ได้ว่า มีเบื้องหน้า เบื้องหลังอย่างไร
วางบึ้มเปิดปากทางอุทยานฯสกัดเงินไหลออก
เบื้องหน้าที่เปิดเผย คือ อธิบดีกรมอุทยานฯมีคำสั่ง 10 กพ.2564 เป็น 2 แนวทางการปฎิบัติหน้าที่ดังนี้
1.ถ้าอธิบดีมีคำสั่งแต่งตั้งหัวหน้าหน่วยงานภาคสนามไปแทนบุคคลใดให้ถือปฎิบัติตามนี้
2 บุคคลที่ถูกแทนให้ปฎิบัติตามตำแหน่ง หากมีคนแทนให้กลับทันที ไม่ต้องถามว่าจะอยู่ที่ไหน
คำสั่งดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นในกรมอุทยานฯมาก่อน แต่ต่อมาข้าราชการกรมอุทยานฯอ้างว่าเป็นที่รับรู้กันภายในกรมฯว่าให้ทุกคนเตรียม"วิ่ง"และหาเงินมา"จ่าย"
ตามวงรอบปฎิบัติของกรมอุทยานฯเจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยไม่ว่าจะเป็นอุทยานแห่งชาติทางบกและอุทยานแห่งชาติทางทะเล 20 แห่ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และหน่วยงานภาคสนามกว่า 2,000 หน่วย ซึ่งแบ่งตามเกรด เอ บี ซี นอกจากจะมีงบประมาณที่รัฐจัดสรรแล้ว
ยังมีเงินนอกงบประมาณ เช่น รายได้จากจำหน่ายตั๋วให้กับนักท่องเที่ยว รายได้จากการประมูลร้านอาหาร สวัสดิการ ค่าบ้านพักในอุทยานฯลฯ จึงทำให้แต่ละหน่วยจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์จัดสรรงบมาจ่ายเพื่อรักษาตำแหน่งไว้ให้ได้
หนังสือคำสั่งที่ลงท้ายข้อความว่า“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”เปรียบเสมือนฟ้าผ่าจึงเป็นที่มาของการทำหนังสือร้องเรียนปัญหาทุจริตภายในกรมอุทยานฯเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว โดย”ชัยวัฒน์”ทำหน้าที่เป็นหัวหอก ก่อนที่ศาลปกครองจะมีคำสั่งให้ “ชัยวัฒน์” กลับเข้ามารับราชการตำแหน่งเดิมในอีก 3 เดือนถัดมา
หลังป.ป.ช.เรียกสอบ”ชัยวัฒน์”เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2565 ที่ผ่านมาพร้อมเอก สารและหลักฐานทั้งหมดโดยนัดแนะให้ไปหารือกับปปป.และป.ป.ท.เพื่อวางแผนล่อซื้อในวันประชุมของกรมอุทยานฯเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2565ทำให้นายรัชฎา ถึงกับดิ้นไม่หลุด นั่นคือเบื้องหน้าที่เป็นที่เปิดเผย
ระเบิดพลีชีพใต้ร่มเงาการเมือง
ข้อมูลจากแหล่งข่าวระบุว่าการขุดบ่อล่อปลาดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากพยานหลักฐานไม่พร้อม
หากไม่มี Mastermind หรือผู้วางแผนกำกับดูแลและสั่งการให้หน่วยงานภายใต้สังกัดขับเคลื่อน เพื่อสกัดการกินคำใหญ่จากคนใกล้ชิดของฝ่ายการเมือง
แหล่งข่าวยังระบุถึงการทุจริตจากเงินงบประมาณที่ผ่านการเล่นแร่แปรธาตุ กระจายไปยังสำนักงานและส่วนงานในพื้นที่ ซึ่งถูกเรียกคืนกลับมาและส่งผ่านไปยังฝ่ายการเมืองตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบัน โดยประมาณการตัวเลขกลมๆอยู่ที่จำนวน 3,000-4,000 ล้านบาทไม่ใช่เรื่องเกินจริง
โดยเฉพาะเงินงบประมาณที่ต้องส่งส่วยเป็นก้อนใหญ่ เดือนละไม่ต่ำว่า 20-30 ล้านบาททุกเดือน ยังไม่รวมกับเงินวิ่งเต้นรักษาตำแหน่ง และเงินคืนตำแหน่ง
แหล่งข่าวคนเดิม กล่าวอีกว่า คนในจะทราบว่าการจ่ายส่วยเพื่อรักษาตำแหน่งเดิมในพื้นที่เดิม หากเป็นคนสนิท รู้จักมักคุ้น ก็ต้องหาเงินมาจ่ายด้วยเช่นกัน แต่จ่ายเพียงครั้งเดียวแล้วจบ
ขณะที่ข้าราชการวงนอกกลับทุกข์หนักยิ่งกว่าเพราะจำเป็นต้องหาเงินมาจ่ายถึง 3 รอบ เช่น จ่ายส่วยเพื่อรักษาตำแหน่งเดิม จ่ายส่วยคืนตำแหน่ง และจ่ายเพื่อย้ายไปประจำในพื้นที่บ้านเกิดหรือพื้นที่อยู่อาศัยกับครอบครัว
จำนวนนี้ไม่รวมกับเงินงบประมาณปกติ ซึ่งกรมอุทยานฯจัดสรรไปให้แต่ละสำนักและส่วนงานต่างๆในกรมฯเพื่อให้ทอนกลับมาตามที่ตกลงกันไว้ เช่น งบที่ใช้ในการป้องกันรักษาธรรมชาติ ตามแผนได้รับไปเท่าไหร่ และต้องทอนกลับมาเท่าไหร่
แหล่งข่าวระบุว่า สำหรับเงินงบประมาณที่ถูกเรียกกลับคืน หรือเงินทอนกลับจากแต่ละหน่วยจะไม่ตายตัว ยกเว้นในบางหน่วย เช่น สำนักป้องกันปราบปรามและควบคุมไฟป่าจะต้องทอนกลับคืน 30 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งงบส่วนอื่นที่ต้องจ่ายรายเดือนให้ส่งคืนกลับ 18.7 เปอร์เซ็นต์ ไม่เว้นแม้แต่งบโครงการในพระราชดำริที่ต้องจ่ายคืนกลับมาอีก 12.5 เปอร์เซ็นต์ จากงบประมาณทั้งหมด
ดังนั้น อดีตบิ๊กสีกากีในฐานะที่เป็นทีมสายตรงของเบอร์ใหญ่ขั้วอำนาจรัฐ ซึ่งมีรอยแค้นฝังหุ่นกับนายรัชฎา และยังเป็นอดีตนายเก่าของ”ชัยวัฒน์” จึงวางแผนให้”ชัยวัฒน์”เป็นระเบิดพลีชีพด่านหน้า วางบึ้มใส่กรมอุทยานฯจนสะเทือนไปถึงเจ้ากระทรวงฯและคนใกล้ชิด
จึงอาจมีคำถามว่า เล่นใหญ่แบเบอร์ขนาดนี้ใครจะสั่งตำรวจและป.ป.ช.ได้ถ้าไม่ใช่สายตรง และคงทำอะไรได้ไม่มากนัก หากผลการเลือกตั้งในครั้งหน้าอาจจะต้องมาร่วมงานกันอีก
กระนั้นยังมีคำถามต่อกับป.ป.ช.ว่าที่สุดแล้วจะสามารถขยายผลไปได้แค่ไหน เพราะไม่แน่ว่าจะตรวจสอบพบเส้นทางธุรกรรมการเงินหรือไม่ เมื่อผู้เกี่ยวข้องล้วนยืนอยู่ในมุมมืดภายใต้ร่มเงาการเมืองได้เก็บเงินสดก้อนใหญ่ไปแล้ว