วันนี้ (15 มี.ค.2566) ที่ห้องพิจารณา 907 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดี เผารถยกตำรวจหมายเลขดำ อ.2534/2564 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายศักดิ์ดา อุดมศรี และนายกรรภิรมย์ บุตรโคตร เป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับ ในความผิดฐาน “ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง”ฯ
โดยอัยการโจทก์ระบุ ฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2564 จำเลยทั้งสองกับพวกอีกประมาณ 600 คนได้ร่วมกันชุมนุมมั่วสุมเพื่อขับไล่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยเคลื่อนขบวนจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มุ่งหน้าไปกรมทหารมหาดเล็กที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (รอ.) ถนนวิภาวดีฯ บ้านพักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด เข้มงวด
โดยเป็นการชุมนุม มั่วสุมโดยไม่จัดมาตรการป้องกันการติดเชื้อโควิด -19 ขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน(บก.คฝ.) ตั้งขบวนขวางป้องกันกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อยุติการเคลื่อนขบวน
จำเลยทั้ง 2 กับกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 600 คน ได้ตะโกนด่าทอ ขว้างปาสิ่งของใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่ และได้ร่วมกันวางเพลงเผาทรัพย์รถบรรทุกพ่วงลากจูงยก ทะเบียนตราโล่ หมายเลข06564 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความเสียหาย เป็นเงินจำนวน 2.1 ล้านบาทเศษ
วันนี้ศาลเบิกตัวจำเลยที่ 1 จากเรือนจำ ส่วนจำเลยที่ 2 ได้รับการประกันตัว เดินทางมาศาลพร้อมทนาย โดยพวกจำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความ และพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้ง 2 เป็นเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกันในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุทั้งสองได้เข้าร่วมชุมนุมในวันดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏว่าอยู่ฝ่ายใด
โจทก์มีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอจากเฟซบุ๊กไลฟ์ของเพจ รายงานข่าวแห่งหนึ่ง ปรากฏภาพจำเลยทั้งสองขว้างวัตถุติดไฟไปที่รถยกคันเกิดเหตุ แต่ว่าเพลิงไหม้ติดบริเวณล้อรถยกแต่ไฟดับไป
จากนั้นก็ปรากฏบุคคลอื่นขว้างวัตถุติดไฟไปยังรถคันที่เกิดเหตุแสดงว่าจำเลยทั้ง 2 ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่ก่อเหตุลักษณะนี้
โดยจำเลยทั้ง 2 ได้เริ่มก่อเหตุขึ้นแต่ไม่ได้เผารถยกคันดังกล่าว สาเหตุที่รถยกดังกล่าวเกิดเพลิงไหม้อาจจะเป็นการกระทำของบุคคลอื่น เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่า จำเลยทั้ง 2 จุดไฟแล้วขว้างไปที่รถยกเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่ใช่ความผิดสำเร็จ และยังไม่บรรลุผล จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามวางเพลิงเผาทรัพย์ของบุคคลอื่น
อ่านข่าวเพิ่ม สามเหลี่ยมดินแดงชุลมุน! เกิดไฟไหม้-ยิงแก๊สน้ำตา-กระสุนยาง
ศาลพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคหนึ่งประกอบมาตรา 86 ข้อกำหนดที่ออกตามความมาตรา 9 แห่งพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ประกาศหัวหน้ารับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง
เรื่องห้ามการชุมนุม กระทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อโควิด-19 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
ให้ลงโทษฐานร่วมกันพยายามวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นซึ่งเป็นบทลงโทษหนักสุด ให้จำคุกคนละ 4 ปี
จำเลยทั้ง 2 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งสองไว้คนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา