วันนี้ (28 มี.ค.2566) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณากรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี จากเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่สุจริต ใช้ดุลพินิจยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยไม่ชอบด้วยมาตรา 103 วรรคสาม ขอให้ศาลฯ มีคำสั่งระงับไม่ให้พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร 2566 มีผลใช้บังคับเป็นการชั่วคราว และเพิกถอนพ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร 2566 ที่ตราขึ้นโดยไม่สุจริต
ทั้งนี้ศาลปกครองสูงสุด ให้เหตุผลว่าการยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปนั้นในมาตรา 103 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญจะบัญญัติให้ทำในรูปแบบของพระราชกฤษฎีกาแต่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ไม่ได้ตราขึ้นเพื่อเป็นกลไกในการบริหารราชการแผ่นดินตามปกติ หรือเพื่อกำหนดการอันจำเป็นแก่การดำเนินกิจการทางปกครอง
ตามที่องค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติตราขึ้นในระดับพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนดต่างๆกำหนดให้อำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกาไว้ แต่เป็นกลไกในการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติในการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามระบบรัฐสภา
พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวจึงไม่ใช่พระราชกฤษฎีกา ตามนัยมาตรา 11(2) แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาปกครอง 2542 คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของ พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร 2566 จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ที่จะพิจารณาพิพากษาคดีดังที่ศาลปกครองสูงสุดได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วในหลายคดีเช่น คดีหมายเลขดำที่ ฟ.5/2549 หมายเลขแดงที่ฟ. 3/2549 คดีหมายเลขดำที่ฟ.100/2556 หมายเลขแดงที่ฟ.12 7/2556
ส่วนที่นายเรืองไกร ขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการตามความในมาตรา 102 ของรัฐธรรมนูญเป็นคำขอที่อยู่นอกเหนืออำนาจของศาลปกครองตามมาตรา 197 ของรัฐธรรมนูญและมาตรา 9 ประกอบมาตรา 72 ของพ.ร.บ.จัดตั้งและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 ที่จะมีอำนาจและมีคำสั่งให้ตามที่ขอ
จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องนี้ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ทำให้ไม่จำต้องพิจารณาคำขอไต่สวนฉุกเฉินเป็นกรณีเร่งด่วน และไม่จำต้องพิจารณา
และมีคำสั่งเกี่ยวกับคำขอให้ศาลกำหนดมาตรการวิธีการชั่วคราวให้ระงับพ.ร ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร 2566 ไม่ให้มีผลใช้บังคับไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการมีคำพิพากษา