ด้วยพระปรีชาสามารถและพระอุตสาหะของ พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ทรงช่วยแปลต้นร่างที่เขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษมาเป็นภาษาไทย ทำให้ประเทศไทยมีประมวลกฎหมายของไทยฉบับแรก คือ ประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ซึ่งใช้เวลาร่างทั้งสิ้น 11 ปี (ตั้งแต่ปี 2450-2451) และพระองค์เจ้ารพีฯ ยังทรงมีบทบาทสำคัญในประมวลกฎหมายฉบับอื่นๆ อีกมากมาย อีกทั้งทรงมีพระดำริว่า
การที่จะยังราชการศาลยุติธรรมให้เป็นไปด้วยดีนั้น มีความจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีผู้รู้กฎหมายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยการเปิดให้มีการสอนกฎหมายขึ้นเป็นที่แพร่หลาย
ประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127
จึงทรงสถาปนาโรงเรียนสอนกฎหมาย สังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้โอกาสแก่ประชาชนทั้งหลายมีโอกาสรับการศึกษากฎหมาย รวมถึงยังทรงเป็นกรรมการในคณะกรรมการ "ศาลกรรมการฎีกา" ซึ่งเป็นศาลสูงสุดของประเทศ ที่ต่อมาได้กลายเป็นศาลฎีกาในปัจจุบัน
ในสมัยพระองค์เจ้ารพีฯ การปฏิรูปงานศาล เป็นสิ่งจำเป็นต่อสยามประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยอำนาจตุลาการขาดอิสระถูกแทรกแซงโดยอำนาจบริหาร มีการทุจริตการตัดสินคดี เกิดวิกฤตการณ์เรื่องเอกราชทางการศาล ชาวต่างชาติไม่ยอมขึ้นศาลไทย แต่กลับตั้งศาลกงสุลพิจารณาตัดสินคดีคนในชาติของตนเอง
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
เพื่อทำให้การยุติธรรมสามารถทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ และเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ พระองค์เจ้ารพีฯ ทรงพัฒนาระบบงานยุติธรรมทั้งระบบ และมีการจัดทำประมวลกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรดังกล่าวมาแล้ว เพื่อให้ศาลสามารถตัดสินคดีได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและสามารถตัดสินคดีโดยปราศจากการแทรกแซงของฝ่ายปกครอง
การที่ศาลสามารถตัดสินคดีความได้อย่างอิสระนั้น
ถือได้ว่าเป็นหลักประกันความยุติธรรมในศาลอันเป็นที่พึ่งของประชาชน
พระองค์เจ้ารพีฯ ทรงเอาพระทัยใส่คุณสมบัติของบุคคลผู้ที่จะมาเป็นผู้พิพากษาเป็นพิเศษ พระองค์ทรงยึดมั่นว่าความซื่อสัตย์สุจริตเป็นอุดมคติสำคัญยิ่งกว่ากิจส่วนตัวใดๆ ทรงตักเตือนผู้พิพากษาเสมอมาว่า "อย่ากินสินบน"
รู้จักศาลทั้ง 4 ตามรัฐธรรมนูญ 2560
ระบบศาลตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 3 บัญญัติว่า
อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม
ตามบทบัญญัติดังกล่าวได้แบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 ทาง โดยพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาล เท่ากับทรงมอบให้ศาลเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการซึ่งเป็นอำนาจในการวินิจฉัย ชี้ขาดข้อพิพาทที่เกิดขึ้นเป็นคดีมาสู่ศาล ทั้งเป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวให้สำเร็จ ลุล่วงไปตามหลักนิติธรรม โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กำหนดให้มี 4 ศาล คือ
- ศาลรัฐธรรมนูญ
- ศาลปกครอง
- ศาลยุติธรรม
- ศาลทหาร
ศาลรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญเป็นกลไกหลักสำคัญในการทำหน้าที่ตีความรัฐธรรมนูญ ว่ากฎหมายใดจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมิได้ ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน การคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ และการธำรงรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือเรื่องการกระทำ การปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญขึ้น และเป็นคดีเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญโดยนำบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาใช้บังคับกับข้อเท็จจริงในแต่ละกรณี ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันกับทุกองค์กร
ศาลรัฐธรรมนูญ
ตามมาตรา 200 กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย ประธานศาลรัฐธรรมนูญ 1 คน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอื่นอีก 8 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา ได้แก่
- ผู้พิพากษาศาลฎีกา จำนวน 3 คน
- ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด จำนวน 2 คน
- ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ จำนวน 1 คน
- ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน 1 คน
- ผู้ทรงคุณวุฒิ (ตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือรองอัยการสูงสุด) จำนวน 2 คน
ด้วยองค์ประกอบของ องค์คณะศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คนนั้น มีเพียง 3 คนที่เป็น "ผู้พิพากษา" ดังนั้นจึงเป็นที่มา ที่คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ จะไม่ใช้คำว่า "คำพิพากษา" แต่จะใช้คำว่า "คำวินิจฉัย หรือ คำสั่ง" แทน เพราะผู้ตัดสินมิใช่ผู้พิพากษาทั้งองค์คณะ
และคำวินิจัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ไม่สามารถใช้หลักจารีตประเพณี หยิบยกเอาคำตัดสินในอดีต หรือคำพิพากษาฎีกาในอดีต เป็นบรรทัดฐานเฉกเช่นเดียวกับคำพิพากษาของศาลยุติธรรมได้ เนื่องจาก ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินบนหลักของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่บังคับใช้เท่านั้น
ศาลปกครอง
เป็นศาลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 มาตรา 276 และมีการจัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มีฐานะเทียบเท่าศาลยุติธรรมและมีอำนาจหน้าที่พิจารณาพิพากษา "คดีปกครอง" เช่น คดีพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน และ รัฐต่อรัฐ ทั้งนี้เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและเพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องในการปฏิบัติราชการ ศาลปกครองออกเป็น 2 ชั้น คือ
- ศาลปกครองสูงสุด
- ศาลปกครองชั้นต้น ในชั้นนี้แบ่งแยกย่อยได้อีก 2 ประเภท คือ
- ศาลปกครองกลาง มีเขตศาลตลอดท้องที่ของกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่น เช่น นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม
- ศาลปกครองในภูมิภาค เช่น ศาลปกครองเชียงใหม่ ศาลปกครองสงขลา ศาลปกครองระยอง
ศาลปกครอง
ศาลยุติธรรม
ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 194 บัญญัติว่า ศาลปกครองเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น โดยที่ศาลปกครองจะตัดสินคดีทั่วๆ ไป ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของประชาชนมากที่สุด ศาลประเภทนี้เป็นศาลเก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และเป็นศาลที่ทุกประเทศทั่วโลกมี ในขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ไม่ได้มีในทุกประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาที่มีเพียงศาลยุติธรรมเท่านั้น
ศาลยุติธรรมแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
- ศาลธรรมดา
- ศาลชั้นต้นชำนัญพิเศษมีอยู่ 5 ศาล คือ ศาลแรงงาน, ศาลภาษีอากร, ศาลทรัพย์ทางปัญญาและการค้าระหว่าง
ประเทศ, ศาลล้มละลาย และ ศาลเยาวชนและครอบครัว - ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแบ่งออกเป็น 5 แผนก คือ แผนกคดีทรัพย์ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ, แผนกคดีภาษีอากร, แผนกคดีแรงงาน, แผนกคดีล้มละลาย และ แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว
ศาลยุติธรรม
ศาลยุติธรรมแบ่งออกเป็น 3 ชั้น
- ศาลชั้นต้น ได้แก่ ศาลแพ่ง, ศาลแพ่งกรุงเทพใต้, ศาลแพ่งธนบุรี, ศาลอาญา, ศาลอาญากรุงเทพใต้, ศาลอาญาธนบุรี, ศาลจังหวัด, ศาลแขวง และ ศาลยุติธรรมอื่นที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดให้เป็นศาลชั้นต้น, ศาลจังหวัด, ศาลแขวง มีทั้งในกรุงเทพฯ และนอกกรุงเทพฯ สำหรับศาลยุติธรรมอื่น หมายถึง ศาลชำนัญพิเศษ
- ศาลอุทธรณ์ ได้แก่ ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค มี 9 ภาค และศาลยุติธรรมอื่นที่ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลนั้น กำหนดให้เป็นศาลชั้นอุทธรณ์ ศาลยุติธรรมอื่น หมายถึง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
- ศาลฎีกา มีอยู่ศาลเดียว
ศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ หรือศาลชั้นต้น ออกเป็นแผนกหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นให้มีผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกหรือผู้พิพากษาหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น แผนกหรือหน่วยงานละ 1 คน เช่น ในศาลฎีกา มีการตั้งแผนกคดีแรงงาน, แผนกคดีล้มละลาย, และแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว, แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นต้น
ศาลทหาร
ตามมาตรา 199 บัญญัติว่า ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาที่ผู้กระทำความผิดเป็นบุคคลซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารและคดีอื่น ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ การจัดตั้ง วิธีพิจารณาคดี และการดำเนินงานของศาลทหาร ตลอดจนการแต่งตั้งและการให้ตุลาการศาลทหารพ้นจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
ศาลทหาร
ตั้งแต่ปี 2434 รัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงเรื่องการศาลทั้งหมด โดยตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้น และรวบรวมศาลต่างๆ เข้ามาสังกัดกระทรวงยุติธรรมจนหมดสิ้นทุกศาล ยกเว้นแต่เพียงศาลทหารเพียงศาลเดียวที่ยังคงให้สังกัดกระทรวงกลาโหมอยู่ตามเดิม ศาลทหารมี 2 ประเภท คือ
- ศาลทหารในเวลาไม่ปกติ หมายถึงศาลทหารในเวลาที่มีการรบหรือสงครามหรือมีการประกาศกฎอัยการศึก
- ศาลทหารในเวลาปกติ มีการแบ่งศาลทหารออกเป็น 3 ชั้น คือ ศาลทหารชั้นต้น, ศาลทหารกลาง และ ศาลทหารสูงสุด
ที่มา : ระบบศาลตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม, สถาบันวิจัยและพัฒนารพีพัฒนศักดิ์, สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ