วันนี้ (6 ต.ค.2566) กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) โดยกองคดีภาษีอากร ได้สืบสวนสอบสวนกรณีที่กรมสรรพากร ได้ร้องทุกข์ต่อดีเอสไอ ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มนิติบุคคลและผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งมีพฤติการณ์ขอคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเท็จ ในช่วงปี พ.ศ.2554-2556 จากการสืบสวนสอบสวนพบว่ามีบุคคลได้รับเงินจากการทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินดังกล่าว
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้รวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน เชื่อได้ว่า นายสุรศักดิ์ (ขอสงวนนามสกุล) ในฐานะเจ้าของกิจการหลายบริษัท ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับรับ ซื้อ ขาย ของเก่าประเภททองแดง ทองเหลืองได้รับเงินจากกลุ่มนิติบุคคลและผู้เกี่ยวข้องซึ่งมีพฤติการณ์ขอคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเท็จ และปิดบังซ่อนเร้น ไม่นำเงินได้ดังกล่าวมายื่นเสียภาษีเงินได้ต่อกรมสรรพากร ทำให้รัฐขาดรายได้ในการจัดเก็บภาษี เป็นมูลค่าความเสียหาย จำนวนเงิน 4,915 ล้านบาท
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้มีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานกระทำโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ตามมาตรา 37 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีภาษีอากร ได้ส่งสำนวนคดีพิเศษที่ 58/2566 นี้ พร้อมตัวผู้ต้องหา ไปยังสำนักงานอัยการคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณามีความเห็นของพนักงานอัยการ
เล็งขยายจับโกงนิติบุคคลเพิ่มอีก 3 คดี
ทั้งนี้ นอกจากคดีนายสุรศักดิ์แล้ว พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ยังได้ดำเนินคดีกับบุคคลที่มีพฤติการณ์เช่นเดียวกันนี้ ในการได้รับเงินจากกลุ่มนิติบุคคลและผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งมีพฤติการณ์ขอคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเท็จรายอื่นด้วย
โดยได้มีความเห็นสั่งฟ้องไปก่อนหน้านี้ในคดีพิเศษที่ 115/2565 ความผิดฐานกระทำโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ตามมาตรา 37 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งมีมูลค่าความเสียหาย 4,366 ล้านบาท และคดีพิเศษที่ 152/2561 ความผิดฐานฟอกเงิน 296 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการขยายผลเพิ่มอีกหนึ่งคดี ได้แก่ คดีพิเศษที่ 54/2566 อีก 1,132 ล้านบาท