คนละ 5 ปี! จำคุก 4 อดีต ตร.ห้วยขวาง คดีรีดเงินสาวไต้หวัน

อาชญากรรม
8 พ.ย. 66
15:34
1,188
Logo Thai PBS
แชร์

คนละ 5 ปี! จำคุก 4 อดีต ตร.ห้วยขวาง คดีรีดเงินสาวไต้หวัน

https://www.thaipbsbeta.com/news/content/333656

คนละ 5 ปี! จำคุก 4 อดีต ตร.ห้วยขวาง คดีรีดเงินสาวไต้หวัน
บริการเสริมจาก Thai PBS AI
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง สั่งจำคุก 4 อดีตตำรวจ สน.ห้วยขวาง คนละ 5 ปี คดีรีดเงินชาวไต้หวันแลกไม่ต้องถูกจับกุม เหตุมีบุหรี่ไฟฟ้า-ไม่พกหนังสือเดินทาง ขณะเดียวกันมีตำรวจ 2 นาย รอดคุก

วันนี้ (8 พ.ย.2566) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ย่านตลิ่งชัน ศาลได้อ่านคำพิพากษา คดีรีดทรัพย์นักท่องเที่ยวไต้หวัน ที่พนักงานอัยการ สํานักงานคดีปราบปรามการทุจริต 3 เป็นโจทก์ฟ้อง อดีตเจ้าหน้าที่ตำรว สน.ห้วยขวาง รวม 6 คน เป็นจําเลยในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ

โดยโจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 5 ม.ค.2566 เวลากลางคืนจําเลยทั้ง 6 สังกัด สน.ห้วยขวาง ปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจบริเวณหน้าสถานทูตจีน โดยจำเลยที่ 5 สังเกตเห็นรถยนต์ลักษณะต้องสงสัยจึงส่งสัญญาณให้จอดเพื่อให้จําเลยที่ 4-5 ตรวจค้น

โดยมีจําเลยที่ 1-3 อยู่ด้วย พบว่ากลุ่มคนโดยสาร มีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง 3 อัน ซึ่งเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้ามาใน ราชอาณาจักรไทย ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 และเป็นชาวต่างชาติไม่สามารถแสดงหนังสือเดินทาง (Passport) หรือหลักฐานอื่นใดว่าได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

จากนั้นจําเลยที่ 1-5 ได้ร่วมกันเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน เป็นเงินสดจํานวน 27,000 บาท จากนาย ป. ชายชาวต่างชาติ เพื่อไม่ต้องถูกดำเนินคดี นาย ป. จึงจํายอมส่งมอบเงิน จํานวนเงินดังกล่าว ให้กับจําเลยที่ 3 จากนั้นจําเลยที่1-2 จึงสั่งให้ปล่อยตัวนาย ป. กับพวกไป โดยไม่ได้ดำเนินการตามกฎหมายแต่อย่างใด

จึงขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา ม.83, 249, 157 พ.ร.ป.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ม.172, 173 และขอให้สั่งริบเงินจํานวน 27,000 บาท ที่ได้มาจากการกระทําความผิดให้ตกเป็นของแผ่นดิน หากจําเลยทั้ง 6 ไม่สามารถส่งมอบเงินจํานวนดังกล่าวได้ ให้ร่วมกันชำระเงินจำนวน 27,000 บาทแทน

อ่าน : https://www.thaipbs.or.th/news/content/324075

คดีนี้ต้องวินิจฉัยว่าจําเลยทั้ง 6 กระทําความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าโจทก์มีนาย ป. ผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานสำคัญ เบิกความสอดคล้องกับบันทึกคำให้การที่ได้ให้การไว้ ได้ความว่า 

ในคืนวันเกิดเหตุ พยานกับเพื่อนถูกเจ้าพนักงานตำรวจที่ตั้งจุดตรวจอยู่บริเวณหน้าสถานทูตจีนตรวจค้นตัว จากการตรวจค้นตัวพยานและเพื่อน พบบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน และ ส่วนที่เหลือ เมื่อถูกขอตรวจดูหนังสือเดินทาง ในกลุ่มของพยานมีเพียงคนเดียว ที่พกพาหนังสือเดินทางฉบับจริง มีภาพถ่ายในโทรศัพท์เคลื่อนที่ เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งว่า พยานกับพวกทำผิดกฎหมาย คือ มีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง และไม่พกพาหนังสือเดินทาง ต้องถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจ อาจถูกควบคุมตัวไว้ 2-3 วัน หรือ อาจถูกจำคุก พยานพยายามพูดคุยต่อรองให้เจ้าพนักงานตำรวจปล่อยตัวพยานกับพวก

จนในที่สุดเจ้าพนักงานตำรวจ ได้บอกให้พยานจ่ายเงิน กรณีที่มีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง 3 อันๆ ละ 8,000 บาท และผู้เสียหายกับพวก 3 คน ไม่พกหนังสือเดินทางอีกคนละ 1,000 บาท รวม 27,000 บาท เพื่อแลกกับการปล่อยตัวพยานจึงจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่พวกจำเลยไป

พยานสามารถจดจำใบหน้าเจ้าพนักงานตำรวจที่เข้ามาพูดคุย ต่อรอง กับพยานได้ 3 คน คือ จำเลยที่ 2-4 นอกจากนี้ขณะที่มาเบิกความเป็นพยานที่ศาล นาย ป. ได้ชี้ตัวจำเลยที่ 2-4 ผ่านระบบประชุมทางจอภาพได้ถูกต้องแม่นยำ

ส่วนจำเลยที่ 1 แม้จะอ้างว่า ขณะเกิดเหตุปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่รถยนต์สายตรวจห่างออกไป 30 เมตร ไม่ได้เข้ามาพูดคุยหรือรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ปรากฏข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของจำเลยที่ 3 ว่า ขณะตรวจค้นตัวนาย ป. จำเลยที่ 3 เดินไปหาจำเลยที่ 1 เพื่อรายงานให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการทราบ

หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 บอกว่าให้จำเลยที่ 2 ใช้ดุลยพินิจตัดสินใจ เพราะจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าชุดเหมือนกัน ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการ ย่อมต้องรับรู้และรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่อาจปฏิเสธความรับผิดได้

ส่วนจำเลยที่ 4 นั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 4 เป็นผู้ตรวจค้นตัวกลุ่มผู้เสียหาย ประกอบกับการที่ นาย ป. ตอบคำถามของทนายจำเลยที่ 4 ที่ขออนุญาตศาลถามว่า ระหว่างที่ นาย ป. พูดคุยเจรจาอยู่กับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 นั้น จำเลยที่ 4 เดินไปเดินมาและบางครั้งก็เข้ามาพูดกับ นาย ป. กับพวกว่าคนสิงคโปร์เดินทางเข้าประเทศไทยต้องขอวีซาจึงเชื่อว่าจำเลยที่ 4 รับรู้และมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดด้วย

การกระทำของจำเลยที่ 1-4 จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.149, 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ม.172, 173

อ่าน : ตร.สน.ห้วยขวาง เข้าให้ข้อมูลคดีรีดทรัพย์ดาราสาวไต้หวัน

เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1-4 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.149 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ม.193 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่จำต้องปรับบท ม.157 และ ม.172 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก 

สำหรับจำเลยที่ 5-6 ปรากฏข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนว่า

ตามวันเวลาที่เกิดเหตุจำเลยที่ 5 ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ด้านหน้าสุดของจุดตรวจ มีหน้าที่คัดกรองรถต้องสงสัยเพื่อส่งต่อให้เจ้าพนักงานตำรวจที่อยู่ด้านหลัง ห่างกันประมาณ 35 เมตร จำเลยที่ 5 เป็นผู้เรียกให้รถยนต์คันที่ผู้เสียหายทั้ง 4 นั่งมา เพื่อขอตรวจค้น เมื่อส่งสัญญาณให้รถคันดังกล่าวจอดแล้ว ดาบตำรวจ อ. ได้รับรถคันดังกล่าวไปดำเนินการต่อ โดยที่จำเลยที่ 5 ได้ปฏิบัติหน้าที่ตรงจุดที่รับผิดชอบต่อไป ไม่ได้เดินไปที่จุดตรวจที่อยู่ด้านหลังจนกระทั่งเลิกจุดตรวจ

จากพยานหลักฐานที่ปรากฏ ไม่มีข้อเท็จจริงใดที่จะบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 5 เข้าไปมีส่วนร่วมใกล้ชิดในการกระทำผิดที่เกิดขึ้น

ส่วนกรณีจำเลยที่ 4 ให้การไว้ว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค.2566 เวลา 00.45 น. จำเลยที่ 5 ได้นำเงินสดจำนวน 3,000 บาท มามอบให้ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเงินอะไร เห็นว่าลำพังเพียงข้อเท็จจริงเรื่องเงินนี้ ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม กรณีไม่อาจทราบแน่ชัด ว่าเป็นเงินอะไร ได้มาอย่างไร จึงไม่อาจนำข้อเท็จจริงส่วนนี้เพียงอย่างเดียว มาพิสูจน์ความถูกผิดของจำเลยที่ 5 ได้

ส่วนจำเลยที่ 6 ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ตามวันเวลาที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 6 รับผิดชอบประจำอยู่ตรงจุดตรวจ ทำหน้าที่ตรวจค้นรถและตัวบุคคล คู่กับจำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 6 เป็นคนแจ้งให้กลุ่มผู้เสียหายลงจากรถและทำการตรวจค้น ระหว่างนั้นผู้เสียหายที่เป็นผู้หญิง ได้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ถ่ายภาพ จำเลยที่ 4 และ จำเลยที่ 6 จึงห้ามไม่ให้ถ่ายภาพและขอให้ลบข้อมูลออกจนเกิดการโต้เถียงกัน จนจำเลยที่ 2 และ จำเลยที่ 3 ได้เดินเข้ามาพูดคุยกับกลุ่มผู้เสียหายแทน จำเลยที่ 6 จึงแยกตัวออกมาทำการตรวจค้นรถอยู่บริเวณฝั่งเกาะกลางถนนห่างออกไปประมาณ 30 เมตร จนถึงเวลา 03.15 น. จึงเดินกลับมาที่เดิมซึ่งไม่เห็นกลุ่มผู้เสียหายแล้ว

เห็นว่าจากพยานหลักฐานที่ปรากฏไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 6 มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดตามฟ้องเช่นเดียวกัน

ศาลพิพากษาว่า "จำเลยที่ 1-4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.149 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ม.173 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา ม.83 การกระทำของจำเลยที่ 1-4 เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา ม.149 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.90 จำคุกคนละ 5 ปี

ส่วนจำเลยที่ 5-6 ให้ยกฟ้อง โจทก์ริบเงิน 27,000 บาท ที่จำเลยที่ 1-4 ได้มาจากการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการคดีนี้ให้ตกเป็นของแผ่นดิน หากจำเลยที่ 1-4 ไม่สามารถส่งมอบเงินจำนวนดังกล่าวได้
จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันชำระเงิน 27,000 บาทด้วย

อ่าน : สั่งย้าย 7 ตร.สน.ห้วยขวาง ปมเรียกเงินดาราสาวไต้หวัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง