อ่าน : "มาฆบูชา 2567" อธิษฐานจิตก่อนตักบาตรอย่างไรให้ได้บุญ
อ่าน : เวียนเทียน "วันมาฆบูชา" กี่โมง สวดบทไหน ได้อานิสงส์อะไรบ้าง
วันมาฆบูชา 2567 นี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ หรือวันเพ็ญ เดือน 3 วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง เป็นวันที่พระพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาติโมกข์ "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์" แต่ละจังหวัดจะมีการจัดกิจกรรมทำบุญ ตักบาตร เวียนเทียน แล้วความสำคัญ และประวัติ รวมถึงกิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติ มีอะไรบ้าง
ความสำคัญ "วันมาฆบูชา"
"วันมาฆบูชา" ตามปฏิทินจันทรคติของไทยนั้นจะตรงกับวัน วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 แต่ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 และมักตรงกับเดือน กุมภาพันธ์ หรือ มีนาคม
ความหมายของ "วันมาฆบูชา" คำว่า "มาฆะ" นั้น เป็นชื่อของเดือน 3 ย่อมาจากคำว่า "มาฆบุรณมี" หมายถึง การบูชาพระในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินของอินเดีย หรือ เดือน 3
ความสำคัญของวันมาฆบูชา คือ เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง "โอวาทปาติโมกข์" แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้มาแล้วเป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งหลักคำสอนนี้เป็นหลักการ และวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ หากสรุปเป็นใจความสำคัญ จะมีเนื้อหาว่า "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์"
อ่าน : "29 กุมภาพันธ์" 4 ปีมีหน "ความอลวน" นานนับพันปี
5 วันพระทางพุทธศาสนา สำคัญอย่างไร
มาฆบูชา กับเหตุการณ์สำคัญ
วันมาฆบูชาได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นพร้อมกันถึง 4 ประการ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" ดังนี้
1. พระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เพื่อสักการะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
2. วันที่มาประชุม ตรงกับวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่ง พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
3. พระสงฆ์ จำนวน 1,250 รูป ที่มาประชุมทั้งหมดล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา 6
4. พระสงฆ์ทั้งหมดได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า หรือ "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ที่ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง
เหตุอัศจรรย์ 4 ประการ เรียกว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งมีความหมายดังนี้
- จาตุร แปลว่า 4
- องค์ แปลว่า ส่วน
- สันนิบาต แปลว่า ประชุม
จาตุรงคสันนิบาต จึงหมายความว่า การประชุมด้วยองค์ 4
- "วันมาฆบูชา" ถือเป็น "วันพระธรรม"
- "วันวิสาขบูชา" ถือเป็น "วันพระพุทธ"
- "วันอาสาฬหบูชา" เป็น "วันพระสงฆ์"
ประวัติวันมาฆบูชา ในประเทศไทย
หนังสือ "พระราชพิธีสิบสองเดือน" อันเป็นบทพระราชนิพนธ์ของ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" มีเรื่องราวเกี่ยวกับการประกอบราชกุศลมาฆบูชาไว้ว่า
ในปี พ.ศ.2394 ประเทศไทยเริ่มกำหนดพิธีปฏิบัติในวันมาฆบูชา ครั้งแรกในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งมีการประกอบพิธีเป็นครั้งแรก ในพระบรมมหาราชวังก่อน โดยมีพิธีพระราชกุศลในเวลาเช้า นมัสการพระสงฆ์จากวัดบวรนิเวศราชวรวิหารและวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร จำนวน 30 รูป ฉันภัตตาหารในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เมื่อถึงเวลาค่ำ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ทรงจุดธูปเทียนนมัสการ พระสงฆ์ทำวัตรเย็นและสวดคาถาโอวาทปาติโมกข์
เมื่อสวดจบทรงจุดเทียน 1,250 เล่ม รอบพระอุโบสถ มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนาโอวาทปาติโมกข์ 1 กัณฑ์ เป็นทั้งเทศนา ภาษาบาลี และภาษาไทย ส่วนเครื่องกัณฑ์ ประกอบด้วย จีวรเนื้อดี 1 ผืน เงิน 3 ตำลึง และขนมต่าง ๆ เมื่อเทศนาจบ พระสงฆ์ 30 รูป สวดรับ
ในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปี แต่มีการยกเว้นบ้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เนื่องจากบางครั้งตรงกับช่วงเสด็จประพาสก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชาในสถานที่นั้น ๆ ขึ้นอีกแห่ง นอกเหนือจากภายในพระบรมมหาราชวัง
ต่อมาการประกอบพิธีมาฆบูชาได้แพร่หลายออกไปภายนอกพระบรมมหาราชวัง และประกอบพิธีกันทั่วราชอาณาจักร ทางรัฐบาลจึงประกาศให้เป็นวันหยุดทางราชการด้วย เพื่อให้ประชาชนจากทุกสาขาอาชีพได้ไปวัด เพื่อทำบุญกุศลและประกอบกิจกรรมทางศาสนา
ในปี พ.ศ.2549 รัฐบาลไทยประกาศให้ "วันมาฆบูชา" เป็น "วันกตัญญูแห่งชาติ" อีกด้วย
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ วันมาฆบูชา
สำหรับ หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติคือ "โอวาทปาติโมกข์" ซึ่งเป็นหลักคำสอนสำคัญอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ประกอบด้วย หลักการ 3 อุดมการณ์ 4 และวิธีการ 6 ดังนี้
1. การไม่ทำบาปทั้งปวง คือ การลด ละ เลิก ทำบาปทั้งปวง ได้แก่ อกุศลกรรมบถ 10 ซึ่งเป็นทางแห่งความชั่ว 10 ประการที่เป็นความชั่ว ดังนี้
- ทางกาย เช่น การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม
- ทางวาจา เช่น การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ
- ทางใจ เช่น การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม
2. การทำกุศลให้ถึงพร้อม คือ การทำความดีทุกอย่างตาม กุศลกรรมบถ 10 ดังนี้
- ความดีทางกาย เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ประพฤติผิดในกาม
- ความดีทางวาจา เช่น ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ
- ความดีทางใจ เช่น ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น มีความเมตตาปรารถนาดี มีความเข้าใจถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
3. การทำจิตใจให้ผ่องใส คือ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ หลุดจากนิวรณ์ที่คอยขัดขวางจิตใจไม่ให้เข้าถึงความสงบ ได้แก่
- ความพอใจในกาม
- ความพยาบาท
- ความหดหู่ท้อแท้
- ความฟุ้งซ่าน
- ความลังเลสงสัย
3 หลักการสรุปใจความสำคัญได้ว่า ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์
อุดมการณ์ 4 ได้แก่
1. ความอดทน อดกลั้น คือ ไม่ทำบาปทั้งกาย วาจา ใจ
2. ความไม่เบียดเบียน คือ งดเว้นจากการทำร้าย หรือเบียดเบียนผู้อื่น
3. ความสงบ ได้แก่ การปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย วาจา ใจ
4. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา
วิธีการ 6 ได้แก่
1. ไม่ว่าร้าย คือ ไม่กล่าวให้ร้าย โจมตีใคร
2. ไม่ทำร้าย คือ การไม่เบียดเบียนผู้อื่น
3. สำรวมในปาฏิโมกข์ คือ เคารพระเบียบวินัย กฎกติกา รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของสังคม
4. รู้จักประมาณ คือ รู้จักความพอดีในการบริโภค รวมทั้งการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ
5. อยู่ในสถานที่สงัด คือ อยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
6. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ คือ การฝึกหัดชำระจิตใจให้สงบ มีประสิทธิภาพที่ดี
การถือปฏิบัติ/กิจกรรมที่ศาสนิกพึงปฏิบัติ (ในวันสำคัญ)
- ตักบาตรหรือ ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษ สามเณร
- การสำรวมกายและวาจา ด้วยการรักษาศีล 5 หรือศีล 8
- การฟังพระธรรมเทศนา
- การเวียนเทียน รอบพระอุโบสถหรือรอบพระบรมสารีริกราตุจนครบ 3 รอบ เพื่อระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ
วันมาฆบูชา 2567 เวียนเทียนกี่โมง
วันมาฆบูชา ปีนี้ 2567 ตรงกับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นอกจากในช่วงเช้าจะไปทำบุญ ไหว้พระแล้ว ในช่วงเย็นหลายคนจะไปเวียนเทียนที่วัด
โดยส่วนใหญ่นิยมไปเวียนเทียนช่วง ประมาณ 16.00 - 20.00 น. แต่ในปัจจุบันนี้วัดหลายแห่งมีการขยับเวลาการเวียนเทียนเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่พุทธศาสนิกชนในชุมชนเมืองมากขึ้น บางวัดเปิดให้เข้ามาเวียนเทียนได้ตั้งแต่ช่วงเช้า 06.00 น.
ซึ่งมีข้อแนะนำจาก กรมการศาสนา ดังนี้
1. ก่อนเริ่มพิธีเวียนเทียน พระสงฆ์ประธานในพิธี กล่าวคำนำบูชาในวันมาฆบูชา ทุกคนประนมมือถือดอกไม้ธูปเทียนกล่าวตาม
2. หลังจากกล่าวคำบูชาจบ ประธานสงฆ์จะนำเวียนเทียน โดยเวียนทักษิณาวรรต (เวียนขวา)
รอบที่ 1 รำลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า สวดบท อิติปิโส ภะคะวา
รอบที่ 2 รำลึกคุณพระธรรม สวดบท สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม
รอบที่ 3 รำลึกคุณพระสงฆ์ สวดบท สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
3. เมื่อเวียนครบ 3 รอบ นำดอกไม้ ธูป เทียน ไปวางไว้ ณ จุดที่กำหนด
สิ่งที่ควรปฎบัติขณะเวียนเทียน
1. เมื่อเริ่มเวียนเทียนให้สำรวม กาย วาจา ใจ
2. รักษาระยะห่างการเดินให้ห่างจากคนข้างหน้า ไม่ให้ความร้อนจากธูป เทียน เป็นอันตรายต่อผู้อื่น
3. เดินเวียนเทียนอย่างเป็นระเบียบ ไมเดินแซงกัน ไม่เร็วไม่ช้าเกินไป
4. ไม่พูดคุย หยอกล้อ ส่งเสียงระกวนผู้อื่นขณะเวียนเทียน
5. เจริญจิตภาวนาระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ
6. หลังจากเวียนเทียนเวียนเทียนครบ 3 รอบ ให้นำดอกไม้ ธูป เทียน ไปวางและปักบูชาในที่ที่จัดเตรียมไว้
อานิสงส์ของการเวียนเทียน
- ทำให้จิตใจตื่นเบิกบาน เกิดความปิติยินดี
- ทำให้จิตใจสงบบริสุทธิ์ เป็นสมาธิ และเกิดปัญญา
- ทำให้เข้าใจในสังสารวัฎ การเวียนว่ายตายเกิด
- ทำให้จิตใจหลุดพ้นจากเวทนาและนิวรณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง
อ่านข่าวอื่น ๆ
วันหยุดกุมภาพันธ์ 2567 : วันสำคัญ วันหยุดยาว เช็กให้ชัวร์ก่อนวางแพลนท่องเที่ยว