วันนี้ (10 มิ.ย.2567) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้า หลังจากนายนเรนทรา โมดี ของอินเดียจากพรรค BJP ชนะการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา และได้ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) กระทรวงพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อินเดียกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจหลักที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในโลกด้วย GDP ที่ขยายตัวถึงร้อยละ 8.2 ในปีงบประมาณ 2566 – 2567 (เม.ย. 2566 - มี.ค.2567) โดยขยายตัวสูงกว่าที่รัฐบาลอินเดียคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 7.6 และเมื่อครั้งที่นเรนทรา โมดี เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อปี 2557 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอินเดียในขณะนั้นขยายตัวสูงอยู่ที่ร้อยละ 7.4 เช่นกัน
นายพูนพงษ์กล่าวว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าการที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ชนะการเลือกตั้งเป็นนายกฯ ต่ออีกสมัย จะไม่ส่งผลกระทบในการกำหนดทิศทางนโยบายด้านต่างประเทศและการค้าต่างประเทศในระยะยาว
คาดการณ์ว่ารัฐบาลอินเดียจะยังคงนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศไว้ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก เนื่องจากพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (National Democratic Alliance: NDA)มีนโยบายที่คล้ายคลึง
ผอ.สนค.กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาอินเดียดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระและเป็นเอกเทศ (independent foreign policy) สนับสนุนโลกหลายขั้วอำนาจ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ซึ่งส่งผลดีต่ออินเดียอย่างชัดเจนจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ขยายวงกว้างระหว่างจีนและสหรัฐฯ นำไปสู่การยกระดับอินเดียสู่ระบบห่วงโซ่การผลิตของโลกแทนที่จีน และพาอินเดียเป็นมหาอำนาจเกิดใหม่ (Emerging Power)
นอกจากนี้ อินเดียเพิ่งมีการเริ่มใช้นโยบายด้านการค้าต่างประเทศใหม่ปี 2566 เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2566 จากเดิมที่มีการใช้นโยบายการค้าต่างประเทศในช่วงปี 2558 – 2563 จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คาดการณ์ว่าทิศทางการดำเนินนโยบายดังกล่าวจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเทียบกับสภาวะปัจจุบันและก่อนหน้านี้ของอินเดีย
“การบูรณาการของอินเดียเข้ากับตลาดโลก และทำให้อินเดียเป็นประเทศคู่ค้าที่มีความน่าเชื่อถือ (trust) และไว้วางใจได้ (reliable) ซึ่งจะช่วยให้อินเดียศบรรลุเป้าหมายในการพึ่งพาตนเอง พร้อมทั้งเป้าการเป็นศูนย์กลางการส่งออกโลก มุ่งเน้นการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าต่าง ๆเช่น สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร โอมาน ศรีลังกา ออสเตรเลีย และเปรู”
ล่าสุดเมื่อมี.ค.ที่ผ่านมา อินเดียได้ลงนามความตกลง FTA กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association: EFTA) ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ ซึ่งผลการดำเนินนโยบายการค้าต่างประเทศที่แข็งแกร่งของอินเดียสะท้อนให้เห็นจากตัวเลขการส่งออกของอินเดียที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยการส่งออกสินค้าและบริการของอินเดียรวมกันมีมูลค่าสูงกว่า 776.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ
นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรี ของอินเดียจากพรรค BJP ชนะการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามทิศทางนโยบายการค้าต่างประเทศของอินเดียต่อไป เนื่องจากอินเดียยังคงเป็นตลาดที่น่าจับตามองจากนานาประเทศ จากขนาดตลาดที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลกมากกว่า 1,400 ล้านคน
IMF คาดว่าอินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของโลกภายในปี 2568 รองจากสหรัฐฯ จีน และเยอรมนี
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย 10 ประเทศสำคัญที่ไทยจะดำเนินการนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุกมีการเร่งผลักดันการใช้สิทธิ์ภายใต้ความตกลง FTA ที่ไทยมีกับอินเดียทั้ง 2 ฉบับ ได้แก่ ไทย-อินเดีย และ อาเซียน-อินเดีย ซึ่งอยู่ระหว่างการยกระดับความตกลงให้มีความทันสมัยและครอบคลุมมากขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ส่งออกและผู้ประกอบการไทย รวมถึงผลักดันสินค้าไทยให้สามารถจำหน่ายบนช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ของอินเดีย
ปี 2566 อินเดียเป็นคู่ค้าลำดับที่ 11 ของไทย มีมูลค่าการค้ารวม 16,044.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 555,217 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.8 ของการค้ารวมของไทยสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอินเดีย ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ อัญมณีและเครื่องประดับ และ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์
สินค้านำเข้าสำคัญจากอินเดีย ได้แก่ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช และ สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์
อ่านข่าว:
ทวงแชมป์ "ทุเรียนไทย" ส่งออกตลาดจีน 4 เดือน พุ่ง 2.25 แสนตัน
กวก.เดินหน้าปั้นทุเรียนใต้คุณภาพ ตั้งเป้าส่งออก 1.3 แสนล้านบาท
“ทุเรียนไทย” ยังโดดเด่นในญี่ปุ่น ผู้ส่งออกชี้ให้เกษตรกรมั่นใจในคุณภาพ