ทั้งยังเอาชนะ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ที่ได้เพียง 22.90 % ทั้งที่ถูกโปรโมทอย่างเข้มข้นจากพรรคและ “ด้อมส้ม” ว่า จะเป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
เป็นผลจากปัจจัยแรงส่งหลายอย่าง ตั้งแต่แจกเงินสด 1 หมื่นบาท ให้กับกลุ่มคนพิการและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ทำให้ผู้มีรายได้น้อยยิ้มออก และคะแนนนิยมที่เทให้ ของเอฟซีพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องแยกออกเป็น น.ส.แพทองธาร และนายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งเป็นนายกฯ อีกแล้ว
แต่ที่สำคัญในด้านการเป็นผู้นำรัฐบาล คือ น.ส.แพทองธาร ตอนนี้เป็นนายกรัฐมนตรี มีอำนาจบริหารสั่งการอยู่ในมือทุกด้าน ต่างจากครั้งก่อน ที่เป็นเพียงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย รวมถึงเรื่องที่มองข้ามไปไม่ได้
คือผู้เป็นพ่อ นายทักษิณ ชินวัตร ทำตัวเงียบกริบ ไม่เคลื่อนไหว ไม่ลงพื้นที่ ไม่โผล่แสดงวิสัยทัศน์ รวมทั้งไม่ให้สัมภาษณ์สื่อ จึงไม่มีคำว่า “ไม่ได้ครอบงำแต่ครอบครองเพราะเป็นลูกสาว” ให้ได้ยินอีก เพราะก่อนหน้านี้ ถูกทัวร์ลงเยอะ เพราะทำตัวเหมือนเป็นนายกฯ ตัวจริง
กรณีนี้จะมองอย่างผิวเผินไม่ได้ เพราะคนเก๋าเกมผ่านศึกการเมืองโชกโชนอย่างนายทักษิณ มีหรือจะไม่รู้อะไรควรทำไม่ควรทำ แต่ที่ต้องทำเช่นนั้น เพื่อแสดงท่าทีปกป้อง น.ส.แพทองธาร เป็นการส่งสัญญาณถึงใครต่อใคร อย่าได้แตะต้องหาเรื่องกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่
จากนั้นจึงได้เห็นการลดบทบาทลงอย่างชัดเจน แม้แต่ในช่วงฟอร์ม ครม.ตั้งรัฐบาล ไม่มีข่าวหรือเกี่ยวโยงกับนายทักษิณปรากฎในข่าวเลย แต่คนที่ออกหน้าสื่อ จะเป็นแกนนำระดับสายตรงอย่างนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ทำหน้าที่แจกแจงอธิบายเรื่องต่าง ๆ ใน ครม. รวมทั้งพรรคที่จะเข้าร่วมรัฐบาลเป็นหลัก ไม่ค่อยจะกังวลเรื่องตนเอง จะยังมีตำแหน่งใน ครม.หรือไม่ แม้บางช่วงมีข่าวลือจะเหลือเพียงรองนายกฯ ตำแหน่งเดียว
แต่สุดท้ายได้เป็นรองนายกฯ ควบกลาโหม และคุมความมั่นคงให้กับรัฐบาล มิหนำซ้ำ จัดระเบียบด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์กระทรวงเสร็จสรรพ ลงนามตั้งโฆษกและทีมโฆษกกระทรวงถึง 15 คน นำโดย “เสธ.หนึ่ง” พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง อดีตโฆษก ททบ.5 และอดีตผอ.โฆษก กอ.รมน.
นายภูมิธรรมเป็นคนประกบข้าง และล่าสุดที่นั่งรถยีเอ็มซีไปกับ น.ส.แพทองธาร ระหว่างลงพื้นที่ลุยโคลนที่แม่สาย เมื่อวันก่อน ก่อนจะแยกคณะไปตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยที่ จ.ลำปาง
ไม่ต่างจาก “หมอเลี๊ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกฯ และอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง หนึ่งใน think tank คนเดือนตุลา เมื่อครั้งนายทักษิณตั้งพรรคไทยรักไทย และเคยประฝีปากในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ในอดีตแบบสูสีทันกันมาแล้ว ในรัฐบาลนายเศรษฐา เขาได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการและเลขานุการ
คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์แห่งชาติ ที่มี น.ส.แพทองธาร เป็นรองประธาน และเป็นอีกหนึ่งคน ที่ตามประกบทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้กับ น.ส.แพทองธาร ในทุกเวทีซอฟต์เพาเวอร์
หลังตั้ง ครม.แพทองธารเสร็จสิ้น “หมอเลี๊ยบ” ได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานคณะที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกฯแพทองธาร เป็น 1 ใน 5 เสือที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก ที่มีนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นประธาน
กล่าวสำหรับนายพันศักดิ์ อดีตนักหนังสือพิมพ์ ที่ต่อมาได้เป็นประธานที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า “บ้านพิษฯ” มาตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ผลงานหนึ่งในครั้งนั้น คือการเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ในภูมิภาคอินโดจีน
หลังรัฐบาล “น้าชาติ” เข้าไปมีบทบาทเรื่องพูดคุยสันติภาพในกัมพูชา ซึ่งขณะนั้น มีถึง 4 ฝ่าย และได้เชื้อเชิญสมเด็จฮุนเซ็น ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำเขมรฝ่ายที่ 4 มาเจรจาพบปะและลงนามกับสมเด็จนโนดม สีหนุ ที่กรุงเทพฯ
สมัยรัฐบาลนายทักษิณ นายพันศักดิ์ได้เป็นประธานที่ปรึกษาบ้านพิษฯ เป็นครั้งที่ 2 มีส่วนช่วยให้นโยบายของรัฐบาลที่เน้นแก้ปัญหาความยากจน มีการคิกออฟแคมเปญต่าง ๆ มากมาย และส่วนใหญ่เป็นนโยบายประชานิยม ที่เริ่มต้นและดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจังจากผู้นำประเทศในทวีปอเมริกาใต้ อย่าง เวเนซุเอล่า ก่อนที่ในเวลาต่อมา ระบบเศรษฐกิจของเวเนซุเอล่าจะล่มสลาย ไม่ต่างจากอาร์เจนติน่า ที่ผู้นำเน้นนโยบายประชานิยมมาตลอดเช่นกัน
ในสมัยรัฐบาลนายทักษิณนั้น ผลงานหลายโครงการ อาทิ โอท็อป 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน ทำให้ภาพผู้นำประเทศ นายทักษิณ โดดเด่นมากกว่าทีมบ้านพิษ ที่เป็นเพียงทีมที่ปรึกษาและอยู่หลังฉาก
ในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ถือเป็นชุดที่ 4 ที่นายพันศักดิ์ ได้เป็น “ประธานบ้านพิษฯ” สำหรับการเป็นแบคอัพและวางแผนให้นายกฯ ใช้ขับเคลื่อนนโยบาย ผ่านแต่ละกระทรวงและข้าราชการ แม้ด้านหนึ่งอาจถูกตั้งข้อสงสัยว่า เป็นระดับอาวุโส อาจไม่เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันที่ยุคสมัยและคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
แต่ในอีกด้านหนึ่ง การมีทีม “ที่ปรึกษาบ้านพิษฯ” จะช่วยให้ น.ส.แพทองธาร มีวิสัยทัศน์และต้องรอบคอบมากขึ้น ถอดบทเรียนจากการให้สัมภาษณ์สื่อ ระบุบาทแข็งจะเป็นผลดีต่อการส่งออก จนต้องลงมาให้สัมภาษณ์กับสื่อแก้ข่าวอีกครั้ง แต่หลังการประชุม “คณะที่ปรึกษาบ้านพิษฯ” นัดแรก 26 กันยายน ก่อนไปตรวจพื้นที่ภาคเหนือ ยังไม่มีอะไรผิดพลาด รวมทั้งเรื่องการสื่อสาร
หนำซ้ำ ทำให้คะแนนนิยมจากนิด้าโพล พุ่งทะลุกว่า 600 % ซึ่งคงทำให้อีกคนหนึ่งแอบดีใจอยู่เงียบๆ คงหนีไม่พ้น นายทักษิณ ผู้เป็นพ่อ
แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่ จะ “ยืนยาว” รักษาคะแนนนิยมนี้ไว้ได้นานแค่ไหน
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : ไม่ใช่กล้วยตาก! พบทากบกสัตว์หายาก 2 ชนิดใหม่ในไทย
6 วันท่วมเชียงใหม่ "น้ำเน่า" สั่งสูบออก ห่วงฝนระลอกใหม่
สมช.มองเหตุรุนแรงเกิดต่อเนื่อง คาดช่วงรอยต่อผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่