วันนี้ (10 ต.ค.2567) กลุ่มผู้เสียหายกว่า 20 คนนำหลักฐานการร่วมลงทุนจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์หลายชนิดกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดดำเนินการธุรกิจรูปแบบลักษณะขายแบบตรง มาให้ตำรวจกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) ตรวจสอบว่าบริษัทแห่งนี้เข้าข่ายความผิดหรือไม่
ผู้เสียหายหลายคนให้ข้อมูลว่า ถูกชักชวนให้ร่วมลงทุน เริ่มจากการเข้าอบรมขายออนไลน์และชักชวนให้เปิดบิลก่อนได้รับสินค้าและมีบางคนไม่ได้รับสินค้าและค่าตอบแทนตามที่ตกลงไว้
หนึ่งในผู้เสียหาย เปิดเผยว่า สนใจเข้าร่วมลงทุนกับบริษัทแห่งนี้หลังมีการประกาศคอร์สเรียนขายสินค้าออนไลน์ในช่วงโควิดระบาด เพราะอยากมีรายได้ โดยเสียค่าสมัครครั้งแรก 2,500 บาท ระหว่างเรียนมีผู้อ้างว่าเป็นบอสมาสอนและชักชวนให้ร่วมลงทุน ด้วยการซื้อสินค้าของบริษัท รวมทั้งให้หาตัวแทนจำหน่ายหรือลูกข่ายให้มาซื้อสินค้า พร้อมโน้มน้าวว่าหากยิ่งซื้อมากก็จะมีรายได้มากขึ้น แต่สุดท้ายไม่ได้กำไรตามที่อ้างไว้ โดยลงทุนรวมไปทั้งหมดกว่า 200,000 บาท
รองประธานมูลนิธิเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ผู้ที่รับเรื่องร้องเรียน ระบุว่า มูลนิธิได้รับแจ้งจากผู้เสียหายว่าได้รับผลกระทบจากการลงทุน ตั้งแต่เดือน มิ.ย. ขณะนี้รวบรวมรายชื่อผู้ได้รับความเสียหายได้แล้วกว่า 500 คน
จึงอยากให้ตำรวจ ปคบ.ช่วยตรวจสอบว่าพฤติกรรมของบริษัทนี้ดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการยื่นจดทะเบียนบริษัทถูกต้องหรือไม่ ประกอบกับลักษณะการชักชวนให้มีการร่วมลงทุน เข้าข่ายความผิดในข้อหาฉ้อโกงประชาชน, ผิด พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค, ผิด พ.ร.บ.แชร์ลูกโซ่, ผิด พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือไม่
ขณะที่ตำรวจได้จัดชุดพนักงานสอบสวน 30 นาย เพื่อรับเรื่องร้องทุกข์ของผู้เสียหายที่นำหลักฐานมาให้ตรวจสอบเพื่อพิจารณาดูว่าเข้าข่ายกระทำความผิดหรือไม่
อ่านข่าว
เปิดธุรกิจ "แบรนด์อาหารเสริมดัง" หลัง ตร.เตรียมเข้าตรวจสอบ
"บอสพอล" โพสต์ปมธุรกิจขายตรง-ลั่นไม่หนีพร้อม "มอบตัวตร."
"แซม" ยืนยันไม่ได้เป็น "กรรมการ" ขายอาหารเสริม พร้อมให้ข้อมูลตำรวจ