เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด ในยามนี้คงหนีไม่พ้นพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หลัง “จ็อบ” สามารถ เจนชัยจิตรวนิช ถูกปลดให้พ้นจากตำแหน่งรองโฆษกพรรคฯ จากเหตุคลิปเสียงคล้ายคุยกับ “บอสพอล” วรัตน์พล วรัทย์วรกุล แห่ง ดิไอคอน กรุ๊ป หากยังปล่อยให้อยู่ต่อ ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของพรรค แต่อาจลุกลามมาถึง “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร ด้วย การประชุมพรรคล่าสุดวันนี้ (22 ต.ค.2567) จึงมีการเสนอวาระพิจารณาขับ “จ็อบ” สามารถ ให้พ้นจากสมาชิก พปชร. เพื่อไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับพรรคอีกต่อไป
ความวัวยังไม่ทันหาย คดีเก่าก็เข้ามาแทรก เมื่อศาลคดีอาญา คดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีคำสั่งรับคดีที่ “วีระ สมความคิด” เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) ยื่นฟ้อง “นิวัติไชย เกษมมงคล” ขณะดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และพวกรวม 12 คน ในคดี ป.ป.ช.ไม่เผยสำนวนคดีนาฬิกาหรูของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ไว้ไต่สวนมูลฟ้อง ให้นัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 19 ธ.ค.2567 และนัดไต่สวนนายวีระปากเดียวในวันที่ 22 ม.ค.2568
โดยคดีนี้ นายวีระ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ให้ดำเนินการกับ นิวัติไชย เลขาฯป.ป.ช. จำเลยที่ 1,วรวิทย์ สุขบุญ อดีตเลขาธิการ ป.ป.ช. จำเลยที่ 2 กับจำเลยรายอื่นๆ รวม 12 คน เนื่องจากมีส่วน ในการปกปิดเอกสารการครอบครองนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร เนื่องจากเห็นว่า จําเลยทั้งหมด ในฐานะเจ้าพนักงาน หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหน้าที่ต้องผูกพันตามคําพิพากษาของศาล การเพิกเฉย จงใจฝ่าฝืน คําพิพากษาของศาล จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยบังอาจส่งมอบเอกสารให้โจทก์ เป็นเอกสารมีการคาดแถบดําปกปิดข้อความอันเป็นสาระสําคัญใน เอกสารจํานวนหลายหน้า
และส่งมอบเอกสารที่ไม่มีข้อความอีกจํานวนหลายหน้า ทําให้ขาดสาระสําคัญ ของเอกสารไป อีกทั้งจําเลยทั้ง 12 คน ไม่ส่งมอบเอกสารรายการที่ 2 คือ ความเห็นของ พนักงานเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ทุกคน ที่รับผิดชอบในเรื่องกล่าวหา ดังกล่าวให้แก่โจทก์ ทําให้โจทก์ไม่สามารถเข้าใจข้อความอันเป็นสาระสําคัญในเอกสาร ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จึงนำมาสู่การยื่นศาลอาญาคดีทุจริตฯ ฟ้องเอาผิดต่อไป
ยังมีลุ้นอีกเฮือก เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่รับคำร้อง “ทักษิณ ชินวัตร” ครอบงำพรรคเพื่อไทย-ล้มล้างการปกครอง ในคดีที่ “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ใน 6 ประเด็น เมื่อวันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา อาทิ สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และ รพ.ตำรวจ เอื้อประโยชน์พักอาศัยอยู่ห้องพักชั้น 14 ระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อให้ไม่ต้องเข้าเรือนจำทั้งที่ไม่มีอาการป่วยวิกฤต
สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้เจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรใต้ทะเลให้กัมพูชา , สั่งการให้พรรคเพื่อไทย ร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน , สั่งการแทนพรรคเพื่อไทย เจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เสนอชื่อนายกฯ คนใหม่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า , สั่งการให้พรรคเพื่อไทยขับพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล และสั่งการให้พรรคเพื่อไทยนำนโยบายของตนเอง ที่แสดงวิสัยทัศน์ไปเป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา
โดยศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว เห็นว่า เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับคำร้องไม่ได้พิจารณาวินิจฉัยอะไรหรือไม่ ในชั้นนี้ให้มีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุด เพื่อขอทราบว่าได้ดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องไปแล้วอย่างไร แล้วรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภาย ใน 15 วันนับเป็นวันที่ได้รับหนังสือ
หาทางลงคดีตากใบ “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังให้ฝ่ายกฎหมายศึกษาข้อมูล หลังนักวิชาการเสนอรัฐบาลให้ออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ตามมาตรา 172 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 เพื่อขอแก้ไขให้คดีตากใบไม่มีอายุความ ที่กำลังจะหมดอายุในวันที่ 25 ต.ค.นี้ และยอมรับว่า เรื่องดังกล่าว เป็นความมั่นคงของรัฐไทย ไม่ใช่ความมั่นคงของรัฐบาล จึงต้องระมัดระวัง และรัฐบาลไม่เคยทอดทิ้ง
“ต้องดูให้ถ่องแท้ ว่า ความรุนแรงเกิดจากอะไร กรณีนี้เป็นแค่ตัวอย่างของการนำมาใช้เคลื่อนไหวทางการเมือง ผมคิดว่าปัญหาเรื่องตากใบมันสลับซับซ้อน และต้องค่อยๆ ดูในหลายเงื่อนไข...การติดตามตัวผู้ต้องหาเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม อย่าใช้ประเด็นนี้มาอ้างว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลย เรื่องนี้เป็นความมั่นคงของรัฐ เป็นความแตกแยก วันนี้สังคมไทยใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นสังคมพหุนิยมอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ต้องถามว่ารายละเอียดที่เกิดขึ้นมันคืออะไร”
ดรีมทีมโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย “บิ๊กอ๊อฟ” พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ลงนามคำสั่ง แต่งตั้งทีมโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย โดยปรับทีมให้มีความสดใหม่ ทันสมัย เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยให้ความสำคัญกับกำลังพลทุกนาย เพราะ “กำลังพลทุกระดับ มีคุณค่าเท่าเทียมกัน ทุกคน ทุกชั้นยศ คือส่วนหนึ่งของ oneteam ทัพไทย” เพื่อร่วมกันเป็นชี้แจงข้อมูลที่ทันต่อสถานการณ์ จำนวน 9 นาย
ประกอบด้วย พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย , รองโฆษกฯ มี 2 นาย คือ พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ และ น.อ.จงเจต วัชรานันท์ , ส่วนผู้ช่วยโฆษกมี 3 นายคือ ร.อ.หญิง ณัฏฐ์อัญ ชูแสง , ร.ท.หญิง ปวิชญา วลีสุขสันต์ , ร.ต.หญิง กฤษมน เนตรสว่าง , รวมทั้ง พ.จ.อ.หญิง เสาวลักษณ์ คำหวาน , จ.อ.ทศพล พันธุ์รัตน์ และ น.ส.อิศริญากรณ์ อินทโชติ
อ่านข่าว :