นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะยังต้องรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งถ้าศาลรับมติดังกล่าว ก็ยังต้องจัดการเลือกตั้งอีก ดังนั้น ก็น่าจะใช้เวลาอีกนานหลายเดือนทีเดียว
แม้ว่าสภาเกาหลีใต้จะลงมติถอดถอน "ยุน ซอก-ยอล" แล้ว แต่ขณะนี้ยังถือว่ายุนอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดี เพียงแต่เสียอำนาจให้กับนายกรัฐมนตรี "ฮัน ด็อก-ซู" ที่รับหน้าที่ประธานาธิบดีรักษาการเป็นการชั่วคราว
โดยปัจจุบัน สิทธิประโยชน์ที่ยุนได้รับในฐานะประธานาธิบดีก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ รายได้ 255 ล้านวอน/ปี หรือมากกว่า 6,000,000 บาท ซึ่งถ้าคิดเป็นรายเดือนก็ตกเดือนละกว่า 500,000 บาท รวมทั้งยังได้รับการดูแลเหมือนเดิม ทั้งเรื่องที่พักตามตำแหน่ง การเดินทางและการอารักขาความปลอดภัย
แต่สิ่งที่ถูกระงับชั่วคราวในตอนนี้ นอกจากการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานาธิบดีแล้ว ยุนก็ยังสูญเสียอำนาจประธานาธิบดีด้วย ทั้งอำนาจในการประกาศกฎอัยการศึก อำนาจประกาศสงคราม อำนาจในการสั่งการกองทัพและแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ และที่สำคัญเขาไม่ได้รับสิทธิ์ความคุ้มกันจากข้อหาก่อกบฏ
ยุน ซอก-ยอล
ฮัน ด็อก-ซู วัย 75 ปี คือ คนที่จะปกครองเกาหลีใต้ในช่วงหลายเดือนนับจากนี้ ซึ่งมากที่สุดคือ 8 เดือน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยมติถอดถอนยุน โดยฮันประกาศชัดเจนในระหว่างการแถลงต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดีรักษาการว่า เขาจะไม่ปล่อยให้งานของประเทศต้องตกอยู่ในภาวะสุญญากาศ และจะทำให้การบริหารประเทศมีเสถียรภาพ
แม้ยุนจะเป็นผู้แต่งตั้งฮัน ด็อก-ซู นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2022 แต่ฮันถูกมองว่า เป็นคนในรัฐบาลเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถคุยข้ามขั้วได้ ท่ามกลางการเมืองเกาหลีใต้ที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายตามพรรคการเมืองอย่างชัดเจน โดยเขามีชื่อเสียงในฐานะคนที่มีเหตุมีผล และเคยทำงานกับประธานาธิบดีมาแล้วถึง 5 คน จากทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยม ตลอดระยะเวลามากกว่า 30 ปี
ฮันมีความเชี่ยวชาญทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้าและการทูต รวมทั้งเคยทำงานในหลายหน้าที่ ทั้งงานวิชาการ งานภาคเอกชนและงานในรัฐบาล ดังนั้นในเรื่องการทำงานรักษาการจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากนัก
ฮัน ด็อก-ซู
ขณะที่พรรคฝ่ายค้าน Democratic Party หรือ DP พูดชัดเจนว่าจะไม่ยื่นญัตติถอดถอยฮันต่อสภา เพื่อให้เขาทำงานและพาประเทศกลับสู่เสถียรภาพ แต่ DP ยื่นคำร้องขอให้สอบสวนฮันจากกรณีที่ไม่สามารถขัดขวางการประกาศกฎอัยการศึก ดังนั้น แม้ฮันจะรอดในสภา แต่ยังวางใจในเรื่องคดีความไม่ได้
ตามกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญมีเวลา 180 วัน ในการวินิจฉัยว่าจะรับมติถอดถอนหรือไม่ ซึ่งผู้พิพากษา 6 คน จากทั้งหมด 9 คน ต้องเห็นชอบ แต่ปัจจุบัน ศาลรัฐธรรมนูญมีผู้พิพากษาไม่ครบองค์คณะ โดยขาดไป 3 คน เนื่องจากพรรครัฐบาลและฝ่ายค้านตกลงกันไม่ได้ ขณะที่ 2 คน จากที่มีอยู่ตอนนี้ 6 คน กำลังจะหมดวาระในเดือนเมษายน
ดังนั้น มีการคาดการณ์ว่า ศาลน่าจะวินิจฉัยมติถอดถอนยุน ก่อนที่ผู้พิพากษา 2 คนจะหมดวาระ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ขณะที่ในระหว่างนี้ ฝ่ายค้านก็อาจจะพยายามเจรจากับรัฐบาล เพื่อแต่งตั้งผู้พิพากษามาเติมในตำแหน่งว่าง 3 คน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญ เชื่อว่า รัฐบาลฮัน ด็อก-ซู ไม่น่าที่จะคัดค้าน
ถ้าเป็นไปตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์หลายคน กระบวนการในชั้นศาลก็น่าจะกินเวลาไม่ถึง 5 เดือน จากกรอบเวลา 6 เดือน ซึ่งถ้าย้อนไปดูกรณี "พัค กึน-ฮเย" เมื่อปี 2017 ศาลใช้เวลาเพียงแค่ 92 วัน หรือ 3 เดือนเศษ ๆ หรือ กรณี "โน มู-ฮยอน" ปี 2004 ใช้เวลาเพียงแค่ 2 เดือน
รัฐสภาเกาหลีใต้
แม้จะยังฟันธงไม่ได้ว่า ผู้พิพากษาจะตัดสินอย่างไร แต่มีความเป็นไปได้สูงที่ศาลจะรับมติถอดถอนดังกล่าว ซึ่งก็จะทำให้เกาหลีใต้ต้องจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีภายใน 60 วัน โดยผลสำรวจความคิดเห็น เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ชี้ว่า ชาวเกาหลีใต้มากกว่าร้อยละ 52 เลือก "อี แจ-มยอง" หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน เป็นผู้นำคนต่อไป ซึ่งเขามีคะแนนทิ้งห่างนักการเมืองคนอื่นๆ แบบไม่เห็นฝุ่น
แม้จะมีคะแนนนำมาแบบเห็น ๆ แต่หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านก็มีข่าวอื้อฉาวและคดีความติดตัวเป็นชนักติดหลังอยู่ โดยเมื่อเดือนที่แล้ว ศาลตัดสินว่า เขามีความผิดฐานละเมิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยมีโทษจำคุก 1 ปี รอลงอาญา 2 ปี ซึ่งถ้าอุทธรณ์ไม่ได้ ก็จะทำให้เขาขาดคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอยากรีบจัดการเลือกตั้ง ก่อนศาลพิจารณาคดี เพราะถ้า อี แจ-มยอง ชนะเลือกตั้ง ก็จะได้รับความคุ้มครองในฐานะประธานาธิบดี
วิเคราะห์โดย : ทิพย์ตะวัน ธีรนัยพงศ์
อ่านข่าว :
"เกาหลีใต้" จ่อลงมติถอดถอน "ประธานาธิบดี" รอบ 2
มติรัฐสภา ถอดถอน "ยุน ซอกยอล" ออกจากตำแหน่ง ปธน.เกาหลีใต้