วันที่ 26 ธ.ค.2567 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ผู้เห็นเหตุการณ์ได้บันทึกภาพเครื่องบินของสายการบินอาเซอร์ไบจาน แอร์ไลน์ส เที่ยวบิน J2-8243 ที่กำลังทำการบินอยู่กลางอากาศลดระดับลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเพิ่มระดับความสูงและบินอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นดิ่งลงพื้นด้วยความเร็วสูงและเกิดการระเบิดจนไฟลุกท่วม ในพื้นที่บริเวณใกล้เมืองอัคเตาทางตะวันตกของคาซัคสถาน
บางคลิปวิดีโอเผยสภาพความเสียหายของเครื่องบินลำดังกล่าว ซึ่งบางจุดมีรูขนาดใหญ่ รวมทั้งมีรูพรุนและร่องรอยขีดข่วนและความเสียหายทั่วทั้งซากเครื่องบินลำเกิดเหตุ
สำหรับเครื่องบินของสายการบินอาเซอร์ไบจาน แอร์ไลน์ส ออกเดินทางจากกรุงบากูของอาเซอร์ไบจาน พร้อมผู้โดยสาร 62 คน และลูกเรืออีก 5 คน มุ่งหน้าสู่กรอซนี เมืองหลวงของสาธารณรัฐเชชเนียของรัสเซีย แต่ต้องลงจอดฉุกเฉิน ซึ่งหน่วยงานด้านการบินรัสเซีย ระบุว่า สาเหตุอาจมาจากการขับเครื่องบินชนนก แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งมองว่าการชนนกจนทำให้เครื่องบินตกเกิดขึ้นได้ยาก
อาเซอร์ไบจานอพยพผู้รอดชีวิตกลับประเทศ
โศกนาฏกรรมในครั้งนี้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 38 คน และรอดชีวิต 29 คน โดยในจำนวนผู้รอดชีวิตมีชาวอาเซอร์ไบจาน 14 คนที่เจ้าหน้าที่ใช้เครื่องบินอพยพกลุ่มคนเหล่านี้มาถึงกรุงบากูแล้ว โดยแบ่งเป็น 2 เที่ยวบิน เที่ยวบินละ 7 คน ซึ่งในเที่ยวบินที่ 2 มีการนำร่างผู้เสียชีวิตชาวอาเซอร์ไบจาน 4 คนกลับมาด้วย
ขณะที่ผู้รอดชีวิตที่เดินทางถึงกรุงบากูแล้วจะถูกส่งตัวไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ส่วนผู้รอดชีวิตชาวอาเซอร์ไบจานที่นอกเหนือจาก 14 คนแรกนี้ จะยังคงอยู่ในคาซัคสถานและรักษาตัวต่อไป
อาเซอร์ไบจานไว้อาลัยผู้เสียชีวิต
ขณะที่สถานกงสุลใหญ่ของอาเซอร์ไบจานในเมืองอัคเตาของคาซัคสถาน ได้จัดงานไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิต โดยชาวบ้านในพื้นที่ต่างแสดงความเสียใจและร่วมกันวางดอกไม้ไว้อาลัยหน้าสถานกงสุล ท่ามกลางบรรยากาศโศกเศร้า
ด้านประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจาน เปิดเผยว่า อาเซอร์ไบจานได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการชุดพิเศษและส่งคณะผู้แทนไปสอบสวนเพื่อหาสาเหตุและรายละเอียดทั้งหมดของเหตุเครื่องบินตกในคาซัคสถานแล้ว
แหล่งข่าวอ้างระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซียโจมตีเครื่องบิน
ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานอ้างแหล่งข่าว 4 คนที่ทราบผลการสอบสวนเบื้องต้นของอาเซอร์ไบจานเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยระบุว่าระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซียยิงเครื่องบินลำดังกล่าว
แหล่งข่าวคนหนึ่ง ระบุว่า ผลสอบสวนเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าเครื่องบินลำดังกล่าวถูกระบบป้องกันภัยทางอากาศ Pantsir-S ของรัสเซียโจมตี ซึ่งระบบการสื่อสารของเครื่องบินถูกรบกวนและใช้การไม่ได้ระหว่างที่กำลังบินเข้าใกล้กรอซนี เช่นเดียวกับแหล่งข่าวอีก 3 คนที่ยืนยันข้อมูลเดียวกัน
ด้ายผู้เชี่ยวชาญด้านการบินชาวฝรั่งเศส เปิดเผยว่า เหตุการณ์เครื่องบินตกในคาซัคสถาน ทำให้นึกถึงเที่ยวบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ที่ถูกขีปนาวุธของรัสเซียยิงตกทางตะวันออกของยูเครนเมื่อปี 2014 หรือ 10 ปีที่แล้ว ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือบนเครื่อง 298 คนเสียชีวิตทั้งหมด โดยใช้ขีปนาวุธ Buk เป็นขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ (Buksurface-to-air missile)
โศกนาฏกรรมในครั้งนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2014 เที่ยวบิน MH17 กำลังบินมุ่งหน้าจากกรุงอัมสเตอร์ดัมของเนเธอร์แลนด์ ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย แต่เกิดเหตุขึ้นทางตะวันออกของยูเครน โดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนรัสเซียได้ยิงขีปนาวุธดังกล่าวไปที่เครื่องบินของมาเลเซียจนตก
การสอบสวนชี้ให้เห็นว่าเครื่องบินลำดังกล่าวถูกขีปนาวุธยิงก่อนที่จะตกลงพื้นดิน และทั้งสองเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในภูมิภาคที่รัสเซียและยูเครนขัดแย้ง จนนำมาซึ่งข้อถกเกียงถึงความปลอดภัยของเที่ยวบินพาณิชย์ในการบินเหนือพื้นที่ดังกล่าว
อ่านข่าว : ชนนกหรือขีปนาวุธ ? เร่งกู้ข้อมูลกล่องดำวินาทีเครื่องบินตกคาซัคสถาน