วันที่ 30 ม.ค.2568 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยแรก (ครั้งที่ 4) ประจำปี พ.ศ.2568 โดยมีนายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุม และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) คณะผู้บริหารและหัวหน้าส่วนราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง
ในการประชุมครั้งนี้ นายวิรัตน์ มีนชัยนันท์ ส.ก.เขตมีนบุรี ได้เสนอญัตติด้วยวาจา เรื่องขอให้กรุงเทพมหานครรายงานความคืบหน้าการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในกรุงเทพมหานคร โดยกล่าวว่า เรื่องฝุ่น PM2.5 เป็นปัญหาระดับชาติ ไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ แต่ด้วยกรุงเทพมหานครมีจำนวนประชากรเป็นจำนวนมาก จึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ
นายชัชชาติ กล่าวว่า ปัญหาหลักในกรุงเทพฯ มี 2 เรื่อง คือ เรื่องฝุ่น และเรื่องน้ำท่วม ซึ่งเรื่องฝุ่นถือเป็นเรื่องสำคัญ เป็นสิ่งที่วางแผนและพยายามดำเนินการมาโดยตลอด ซึ่ง กทม.ได้ดำเนินโครงการนักสืบฝุ่น โดยร่วมกับนักวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของฝุ่น PM2.5
พบว่าฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพฯ มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ รถยนต์ สภาพอากาศปิด และการเผาชีวมวล โดยในสถานการณ์ปกติจะมีฝุ่น PM2.5 จากรถยนต์เป็นทุนเดิมอยู่ที่ประมาณ 30 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก.ต่อ ลบ.ม.)
เมื่อมีอากาศปิดร่วมกับฝุ่น PM2.5 จากรถยนต์เป็นทุนเดิม แต่ไม่มีการเผา จะมีค่าฝุ่นที่ประมาณ 60 มคก.ต่อ ลบ.ม. และเมื่อมีอากาศปิด ร่วมกับฝุ่น PM2.5 จากรถยนต์เป็นทุนเดิม และมีการเผาด้วย จะมีค่าฝุ่นที่ประมาณ 90 มคก.ต่อ ลบ.ม.
ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญกับทั้งฝุ่นที่มาจากรถยนต์และการเผาชีวมวล โดยในเรื่องรถยนต์นั้นต้องขอขอบคุณทางสภากรุงเทพมหานครที่เป็นหน่วยงานแรก ๆ ที่ออกข้อบัญญัติในการเปลี่ยนรถเมล์ให้เป็นรถเมล์ EV
แม้ว่ากฤษฎีกาแจ้งว่าเราไม่มีอำนาจ ซึ่งทำให้เห็นว่าส่วนหนึ่งของปัญหาคืออำนาจบางอย่างไม่ได้อยู่ที่เรา แต่จะพยายามหามาตรการต่าง ๆ ใช้อำนาจที่มีเข้าไปควบคุมให้ได้
ในส่วนของเรื่องแผนปฏิบัติการแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปี 2568 หรือ “แผนลดฝุ่น 365 วัน” กทม. ได้มีการดำเนินการอยู่ตลอดทุกวันทั้งปี โดยในระยะปกติมีการติดตามเฝ้าระวังและแจ้งเตือนประชาชน การกำจัดต้นตอ เช่น
ตรวจควันดำ ตรวจคุณภาพอากาศเชิงรุก รถอัดฟาง Feeder การป้องกันให้กับประชาชน เช่น ธงคุณภาพอากาศ ห้องปลอดฝุ่น ปลูกต้นไม้ล้านต้น รวมทั้งการสร้างการมีส่วนร่วม เช่น แอปพลิเคชัน Traffy Fondue
ส่วนในระยะวิกฤตยังคงดำเนินการตามแผนระยะค่าฝุ่นปกติอย่างต่อเนื่อง แต่เพิ่มมาตรการให้มีความเข้มข้นยิ่งขึ้น มีการจัดตั้ง War Room เพิ่มการแจ้งเตือนประชาชน เพิ่มการแจ้งเตือนผ่าน Line Alert เพิ่มการติดตาม Hot Spot เพิ่มมาตรการกำจัดต้นตอการเกิดฝุ่น ได้แก่
เพิ่มความถี่ในการตรวจควันดำ, ประสานวัด ศาลเจ้างดจุดธูปเทียน, ห้ามจอดรถบนถนนสายหลัก/สายรอง, หยุดการก่อสร้าง ประกาศพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ, ดำเนินมาตรการ Low Emission Zone (LEZ), มาตรการ WORK FROM HOME
ด้านการป้องกันประชาชน ได้เพิ่มการจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ คำแนะนำในการดูแลสุขภาพ เพิ่มการแจกหน้ากากอนามัยเชิงรุกแก่ประชาชนทั่วไป เด็กนักเรียน และกลุ่มเปราะบาง ให้บริการคลินิกมลพิษทางอากาศ ตลอดจนประสานความร่วมมือกับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร
เปิด 11 มาตรการแก้ฝุ่น
- Low Emission Zone (LEZ) หรือมาตรการเขตมลพิษต่ำ ควบคุมรถเข้าพื้นที่ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ห้ามรถ 6 ล้อขึ้นไปที่ไม่ลงทะเบียนบัญชีสีเขียว (Green List) เข้าพื้นที่วงแหวนรัชดาภิเษก หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายและมีแนวโน้มฝุ่นเพิ่มมากขึ้นจะประกาศขยายพื้นที่ควบคุมไปยังวงแหวนกาญจนาภิเษกด้วย ทั้งนี้ ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยปัจจุบันมีรถลงทะเบียน Green List แล้ว 43,716 คัน
- โครงการรถคันนี้ลดฝุ่น เป็นการชวนประชาชนมาเป็นแนวร่วมในการลดฝุ่น ซึ่งการวิจัยพบว่าการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง/ไส้กรอง สามารถลดฝุ่น PM2.5 ได้ถึง 55% จึงได้คุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ร่วมลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง/ไส้กรองเพื่อช่วยเหลือประชาชน ในปี 2568 เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือน ต.ค.2567 มีรถเข้าร่วม 229,711 คัน จากเป้าหมาย 500,000 คัน
- ห้องเรียนปลอดฝุ่น โรงเรียนสังกัด กทม. ที่เปิดสอนในระดับชั้นอนุบาล (429 แห่ง) โดยปรับปรุงเสร็จแล้ว 744 ห้อง จากห้องเรียนอนุบาลทั้งหมด 1,966 ห้อง และจะปรับปรุงให้เสร็จทั้งหมดภายในปีนี้
- เครือข่าย WORK FROM HOME (WFH) เพื่อลดการจราจรในท้องถนน และประชาชนจะได้ไม่ต้องออกไปเจอสภาพอากาศที่ไม่ดีข้างนอก ปัจจุบันมีหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วมกับ กทม.รวม 103,781 คน และตั้งเป้าหมายจะทำให้ถึง 200,000 คน
- รถอัดฟางให้ยืมฟรี ตั้งงบประมาณซื้อรถอัดฟางสนับสนุนให้เกษตรกรยืมใช้ฟรี เชื่อว่าโมเดลนี้น่าจะขยายไปทั่วประเทศได้ ช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกรได้ และสามารถนำฟางไปขายได้
- สนับสนุนทีมฝนหลวงช่วยลดฝุ่น กทม. ซึ่งหัวใจของฝนหลวงไม่ใช่การทำให้ฝนตกลงมาเพื่อล้างฝุ่น แต่เป็นไปตามแนวคิดการเจาะช่องฝาชีที่ครอบอยู่เพื่อให้ฝุ่นระบายขึ้นไปได้ ที่ผ่านมาไม่เคยมีการบินในเขตกรุงเทพมหานครเพราะเป็นเขตหนาแน่น แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่วิทยุการบินฯ อนุญาตให้บินเพราะมีการประสานขอความร่วมมือไป ซึ่ง กทม.ได้สนับสนุนทีมฝนหลวงในการรับบริจาคน้ำแข็งแห้งและได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมาจำนวน 300 ตัน
- เปิดช่องทางแจ้งเบาะแสฝุ่น โดยใช้ Traffy Fondue ซึ่งมีเมนูแจ้งการเผา แจ้งควันดำโดยเฉพาะ
- การพยากรณ์และแจ้งเตือนฝุ่น ซึ่งสามารถพยากรณ์ฝุ่นได้แม่นยำ ใช้เซ็นเซอร์ที่ได้มาตรฐาน มีการแจ้งเตือน เช่น ธงคุณภาพอากาศในโรงเรียน ชุมชน สำนักงานเขต, เปิดศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร และ Live แจ้งเตือนสถานการณ์วันละ 1 ครั้ง มี Line Alert ที่แจ้งเตือนเมื่อมีวิกฤต เพื่อให้ประชาชนรับรู้ทันท่วงที
- การตรวจฝุ่นที่ต้นตออย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ 1 ต.ค.2565 - 29 ม.ค.2568 เช่น โรงงาน 236 แห่ง ตรวจแล้ว 14,638 ครั้ง แพลนท์ปูน 105 แห่ง ตรวจแล้ว 2,451 ครั้ง สั่งปิด 17 แห่ง, ตรวจรถโดยสารแล้ว 57,057 คัน ห้ามใช้ 85 คัน ตรวจรถบรรทุก 142,880 คัน ห้ามใช้ 743 คัน
- ปรับปรุงการจราจร ปรับปรุงทางเท้า เป้าหมายระยะทาง 1,000 กม. และการใช้จักรยาน Bike Sharing เพื่อให้คนลดการใช้รถยนต์ลง
- เพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตลอด ทั้งการทำโครงการปลูกต้นไม้ล้านต้น ซึ่งตอนนี้ปลูกไปแล้วกว่า 1,286,000 ต้น พร้อมขยายเป้าเป็น 2 ล้านต้น และจัดทำสวน 15 นาที ซึ่งทำไปแล้วกว่า 170 แห่ง จากเป้าหมาย 500 แห่ง
กทม.ชง 11 ข้อเสนอถึงรัฐบาล
นอกจากนี้ ยังมี 11 ข้อเสนอถึงรัฐบาลในการดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ปัญหาฝุ่นที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ได้แก่
- มาตรการตรวจควันดำและการตรวจสภาพรถประจำปี ประกอบด้วย การลดค่าความทึบแสงให้เหลือ 10% หรือให้ กทม. กำหนดค่ามาตรฐานเอง และการตรวจสารมลพิษอื่นจากปลายท่อไอเสีย
- การติดตัวกรองมลพิษอนุภาคจากเครื่องยนต์ดีเซล (DPF) โดยพิจารณาในกลุ่มรถที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป เพื่อลดมลพิษจากแหล่งกำเนิดภาคการจราจร
- การให้ กทม. เป็นผู้ตรวจการขนส่ง เพื่อให้มีอำนาจเรียกรถให้หยุดเพื่อทำการตรวจสอบ ตลอดจนจับกุมผู้ฝ่าฝืน
- การจัดการรถเก่า โดยเพิ่มการจัดเก็บภาษีรถเก่าให้สอดคล้องกับการปล่อยมลพิษของรถตามอายุการใช้งาน และสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรถพลังงานไฟฟ้า (EV) โดยอาจสนับสนุนการนำรถเครื่องยนต์สันดาปแลกรถยนต์ EV คันแรก
- ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประกาศให้กรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษในพื้นที่ได้อย่างสอดคล้องกับบริบทเมือง
- การควบคุมปริมาณรถ โดยสนับสนุนรถพลังงานไฟฟ้า จำกัดการซื้อรถใหม่ที่มาตรฐานต่ำกว่ายูโร 5 หรือทะเบียนเก่าแลกทะเบียนใหม่ จำกัดการเพิ่มขึ้นของรถ และนำรถเก่าออกจากระบบ
- การย้ายท่าเรือคลองเตย เพื่อลดปริมาณแหล่งกำเนิดมลพิษภาคการจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯ
- การควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม (ทั้ง 236 แห่ง) โดยกำหนดให้มีการจัดทำรายงานชนิดและปริมาณสารมลพิษที่ระบายออกจากสถานประกอบกิจการที่มีหม้อไอน้ำ รวมทั้งให้ติดตั้ง CEMs (เครื่องตรวจวัดมลพิษปลายปล่อง) ทุกโรงงาน
- การเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม ตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle: PPP) โดยขอให้เร่งรัดกระบวนการพิจารณาข้อบัญญัติกฎหมายภายใต้พระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... และเร่งรัดการประกาศใช้ต่อไป
- การตรวจมลพิษในท่าเรือ (จากปลายท่อ) โดยแต่งตั้งให้ข้าราชการสังกัด กทม. เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ปฏิบัติการตามมาตรา 63 มาตรา 65 และมาตรา 66 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมมลพิษจากเรือตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทยทั่วราชอาณาจักร ในพื้นที่กรุงเทพฯ
- การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อวิเคราะห์สารมลพิษและผลกระทบต่อสุขภาพ ตลอดจนการกำหนดมาตรการลดและควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นละอองขนาดเล็กและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสารมลพิษที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เมือง
อ่านข่าว : ฝุ่น PM2.5 เช้านี้ กทม.สีส้มทุกเขต - ฝุ่นละอองแนวโน้มเพิ่มขึ้น
สภาพอากาศวันนี้ ไทยตอนบนอากาศเย็นถึงหนาว ฝุ่นละอองแนวโน้มเพิ่มขึ้น