วันนี้ ( 5 มี.ค.2568) นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กกร. กล่าวว่า ที่ประชุมกกร. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 68 เผชิญความเสี่ยงสูงท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายการค้า และแรงกดดันต่อภาคการผลิตที่จะยังมีต่อเนื่อง ส่วนอุปสงค์ภายในประเทศยังเปราะบาง สอดคล้องกับมุมมองของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่นำไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กกร.
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กกร.
ทั้งนี้ กกร. ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 68 ไว้เท่ากับการประชุมเมื่อเดือนก.พ. ที่ผ่านมา คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) โตประมาณ 2.4-2.9% มูลค่าการส่งออก ขยายตัว 1.5-2.5% และอัตราเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้น 0.8-1.2%
ประธานกกร. กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทย ส่งสัญญาณอ่อนแรงลง สะท้อนผ่าน GDP ไตรมาส 4/67 ที่ขยายตัวเพียง 3.2% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ราว 4% ส่งผลให้ทั้งปี2567 GDP ขยายตัวเพียง 2.5% ต่ำกว่าระดับศักยภาพ

สาเหตุหลัก มาจากการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัว สวนทางกับการส่งออกที่ยังขยายตัวดี เพราะปัญหาเชิงโครงสร้าง และการแข่งขันรุนแรงจากสินค้าต่างประเทศในหลายอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น รถยนต์ เคมีภัณฑ์ ยางและพลาสติก อิเล็กทรอนิกส์ วัสดุก่อสร้าง
ทั้งนี้สิ่งที่เอกชนกังวล คือนโยบายภาษีสหรัฐฯที่จะกระทบส่งออกไทย เนื่องจากสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะปรับขึ้นภาษีนำเข้า ทั้งแบบเจาะจง และแบบครอบคลุมวงกว้างเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น เหล็กและอะลูมิเนียม และเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าจากสินค้ากลุ่มรถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และยา รวมทั้งมีแผนเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับประเทศต่าง ๆ ในวงกว้าง

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
สำหรับสินค้าที่สหรัฐฯ เสียเปรียบจากการถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูง ซึ่งอาจทำให้สินค้าไทยมีต้นทุนภาษีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 6-8% ทั้งนี้ สงครามการค้าได้กดดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากการบริโภค และภาคบริการที่ชะลอลง ส่วนภาคอุตสาหกรรมยุโรป และญี่ปุ่น ต่างหดตัวต่อเนื่อง
กกร. มีความกังวลต่อการดำเนินนโยบายจัดเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมการส่งออกของไทย เพราะล่าสุดสหรัฐฯ มีการประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก และอะลูมิเนียมจาก 10% เป็น 25% และยกเลิกข้อยกเว้นรายประเทศ ข้อตกลงตามโควตา รวมทั้งยกเลิกการยกเว้นภาษีแบบรายสินค้า โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 68 ทำให้ผู้ประกอบการไทยที่มีการส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมไปยังสหรัฐฯ จะต้องแบกรับภาระภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้กกร.ขอให้ภาครัฐเร่งมีการบูรณาการข้อมูลการค้าในทุกมิติ ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ทั้ง ดุลการค้า ดุลภาคบริการ และดิจิทัล ดุลภาคขนส่ง ดุลภาคการศึกษา เพื่อนำมาวิเคราะห์กำหนดท่าทีร่วมกับภาคเอกชน ในการเจรจาการค้าระหว่าง 2 ประเทศ รวมทั้งกำหนดยุทธศาสตร์ในการรับมือนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และผลกระทบจากสงครามการค้า เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบการและสร้างโอกาสทางการค้าใหม่ ๆ ลดการพึ่งพาตลาดเดิม
นอกจากนี้ กกร. เห็นด้วยกับการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ที่จะขยายระยะเวลาลงทะเบียนให้กับลูกหนี้รายย่อย และ SMEs ที่เปราะบางเข้าร่วมโครงการ คุณสู้ เราช่วย ถึง 30 เม.ย. 68 เพื่อเพิ่มโอกาสการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย และ SMEs ได้มากขึ้น ซึ่งจะสามารถครอบคลุมลูกหนี้จำนวน 2.1 ล้านบัญชี มียอดหนี้รวมประมาณ 890,000 ล้านบาท ซึ่งในขณะนี้ มียอดจำนวนลูกหนี้ลงทะเบียนถึงวันที่ 16 ก.พ. อยู่ที่ 820,000 ราย หรือคิดเป็น 990,000 บัญชี

โดยโครงการประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่ 1. มาตรการ จ่ายตรง คงทรัพย์ สำหรับลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ บริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการ 2. มาตรการ จ่าย ปิด จบสำหรับลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ บริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ Non-Bank ที่เข้าร่วมโครงการ และ 3. มาตรการ ลดผ่อน ลดดอกสำหรับลูกหนี้ของ Non-Bank ที่เข้าร่วมโครงการ
ทั้งนี้ โครงการ คุณสู้ เราช่วยเป็นการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดภาระการผ่อนอย่างมีนัยสำคัญให้กับลูกหนี้ เป็นมาตรการชั่วคราวที่ยาวถึง 3 ปี เพียงพอในการสนับสนุน และรองรับกับมาตรการระยะถัดไปของภาครัฐ ในการเข้ามาปฏิรูปเชิงโครงสร้างด้านต่าง ๆ ที่จะแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้อย่างยั่งยืน
อ่านข่าว:
ทองคำป่วน “สงครามการค้า” ปะทุ "สหรัฐฯ-จีน" เปิดฉากเก็บภาษีสินค้า
สนค.ปักหมุดสินค้าไทยรุกตลาดจีน เปิดคิดค้า Briefingเจาะลึกรายมณฑล
ศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ ชี้ เศรษฐกิจโลก-ไทย ฝืดหนัก ฟื้นระยะสั้น-หนี้ท่วม