วันที่ (13 มี.ค.2568) นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงวันครบรอบ 11 ปี ของการเข้ามาของผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กับการไร้จุดยืนทางการทูตของไทยต่อสถานการณ์โลก และนำพาประเทศตกเหวบนกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยระบุว่า เมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะให้ตนมูฟออนยังไง
นายกัณวีร์ กล่าวว่า เมื่อ 12 มี.ค.2557 เป็นวันที่ไทยได้พบชาวอุยกูร์ในสวนยาง อ.รัตภูมิ จ.สงขลา และเป็นวันแรกที่ได้พบกับบุคคลเหล่านี้ที่ ตม.6 ด้วยเช่นกัน จนวันนี้ครบรอบ 11 ปี กับอีก 1 วัน ที่ประเทศไทยเราตัดสินใจผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะไม่สามารถตระหนักได้ความจำเป็นที่ต้องมีความรอบรู้ทางการต่างประเทศบนสถานการณ์มนุษยธรรมโลก
"เราผิดพลาดตั้งแต่ปี 2557 ที่รัฐบาลคิดไม่ได้ว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนต่อสถานการณ์ผู้ลี้ภัยควรเป็นอย่างไร แต่กลับใช้ความกังวลและเกรงกลัวทางการทูตระดับทวิภาคี โดยเกรงกลัวอิทธิพลของจีน สั่งระงับความช่วยเหลือจากตุรกีในการส่งเครื่องบินเช่าเหมาลำมาจากอังการ่าเพื่อรับชาวอุยกูร์เกือบ 400 คนไปในปี 2557"
นายกัณวีร์ กล่าวว่า ความผิดพลาดครั้งนั้นมันย้ำเตือนความเป็นการทูตแบบไทยๆ ที่ไม่สามารถมีความคิดนอกกรอบจารีตการต่างประเทศไทยที่เกรงกลัวผลกระทบจากความสัมพันธ์กับมหาอำนาจอย่างจีน จนไม่สามารถสร้างจุดยืนทางการทูตได้อย่างชัดเจน ที่สมควรยึดหลักการที่เป็นกระดูกสันหลังของประเทศเสรีประชาธิปไตย ซึ่งก็คือหลักสิทธิมนุษยชนนั่นเอง
"ปี 2558 หลังถูกรัฐประหาร ทหารมีอำนาจ เลยไม่แปลกใจกับการตัดสินใจแบบอนุรักษ์นิยมทหาร ซึ่งไม่สามารถนำมาตรฐานสากลมาปรับใช้กับการต่างประเทศได้ เลยตัดสินใจต่อรองหลักการมนุษยธรรม โดยการ 1) แยกครอบครัว โดยเอาผู้หญิงและเด็ก จำนวน 173 คนไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ตุรกี และ 2) ผลักดันชาย 109 ชีวิตกลับไปให้จีนอย่างไม่ทราบชะตากรรม"
นายกัณวีร์ กล่าวว่า ความผิดพลาดไม่ได้มีแค่นั้น การที่ยังอยู่ในกรอบการทูตแบบไทยๆ ไม่สนใจความเคลื่อนไหวในเวทีระหว่างประเทศอะไรทั้งสิ้น เลยตัดสินใจกักผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 53 ชีวิต (ชายล้วน มีเด็กด้วยในขณะนั้น) ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา จนทำให้มีคนเสียชีวิตจากการถูกกักเป็นจำนวน 5 คน (มี 2 คนที่เป็นเด็ก 3 ขวบ 1 คน กับ 2 วันอีก 1 คน) เพราะสภาพความเป็นอยู่ในห้องกักมันไม่เหมาะกับการอยู่ระยะยาว
"ในช่วงตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ทั้งจีนและประเทศที่สนใจรับชาวอุยกูร์ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่ 3 ได้เข้าพบส่วนราชการไทยที่เกี่ยวข้อง ทั้ง สมช. และ กต. แสดงเจตจำนงรับอุยกูร์ที่เหลือไป โดยจีนบอกว่าต้องการเอาทุกคนกลับประเทศ "เพราะทุกคนอยากกลับและกลับไปหาญาติ" จริงหรือ ?!?! ส่วนประเทศที่ขอรับไปอยากช่วยไปตั้งถิ่นฐานใหม่เพราะเป็นประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ และจะช่วยผลักดันการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนในสถานการณ์ผู้ลี้ภัย"
นายกัณวีร์ กล่าวด้วยว่า ไทยคงไม่รู้จะทำยังไงในช่วงรัฐบาลทหารในเวลา 9 ปี เลยกักไว้ในห้องกักของ สตม. อย่างไม่มีกำหนด คนที่รับงานเต็มๆ คือ สตม. คนทำงานด้านนี้คาดหวังสูงกับผลการเลือกตั้งปี 2566 ว่าเราจะได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนแล้วคงจะมีหัวใจและหลักการประชาธิปไตย ที่เห็นเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นหัวใจหลักในการทำงานด้านนี้ และจะไม่ตัดสินใจที่เลวร้ายย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อีกต่อไป แต่สุดท้ายวันที่ 27 ก.พ.2568 รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนกับตัดสินใจผิดพลาดอย่างร้ายแรง ผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ จำนวน 40 คนกลับจีนอย่างมีข้อกังขาทางสังคม
"ทั้งๆ ที่มีมติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค.2568 แต่ก็ยังโกหกตาใสว่าจะไม่มีการผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับ ผมเป็นผู้ได้รับการค่อนแคะโดยตรงจาก รองนายกฯ ภูมิธรรม หลายครั้ง ทั้งสวนผมว่ารู้ได้ไง ไม่มีหรอกเรื่องนี้ ฯลฯ และสุดท้ายก็ผลักดันกลับแบบลับๆ ล่อๆ แล้วมาบอกว่าต้องทำเพราะไม่อยากให้มีปัญหาในช่วงส่งไปสนามบิน"
นายกัณวีร์ กล่าวว่า ขนาดวันที่ผลักดันกลับนายกรัฐมนตรีไทย ยังพูดตอนเช้าว่าไม่มีหรอกถ้ามีต้องยึดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและหลักสิทธิมนุษยชน จนกระทั่งจีนประกาศออกมาก่อนไทยว่ารับมาแล้ว 40 คน จากไทย แล้วอีกวันให้หลังค่อยมาแถลงข่าวและบอกว่าคนตัดสินใจคือ รองนายก รมว.กห. , รมว.ยธ. และ รมว.กต.
"เพราะฉะนั้นท่านรับแล้วนะครับว่าท่านจะรับผิดชอบ ผมถามถึงความสมัครใจก็ไม่สามารถเอาเอกสารหลักฐานใดๆ มาแสดงได้ แล้วมาโจมตีเอกสารจดหมายที่ผมเอามาแสดงให้เห็นว่าเค้าไม่ได้สมัครใจว่าเป็นของปลอม ทั้งกรมราชทัณฑ์ และ สตม. เตรียมตัวไว้นะครับทั้ง 2 ส่วนราชการ รวมทั้ง โฆษกรัฐบาลที่ออกมาโจมตีผมอย่างมากมายนะครับ ผมจำได้ทุกอย่าง"
นายกัณวีร์ กล่าวย้ำว่า สุดท้าย ผช.รมว.กต. ออกมาบอกว่าทางออกเรื่องอุยกูร์มีทางเดียวคือการส่งกลับเท่านั้น เพราะจีนมี Diplomatic Note มาเจ้าเดียวเท่านั้น ไม่มีใครมาแสดงความต้องการอย่างจริงจังในการรับไปตั้งถิ่นฐานใหม่ และยิ่งได้ยินจากหูเองว่า การแสดงความจริงจังนั้น ผช.รมว.กต. บอกว่าหากเค้าจริงจัง เค้าต้องไปคุยกับจีนเองว่าจะรับไป และจะไม่มีผลกระทบอะไรกับไทยหากรับไป
"ผมนี่แทบไม่เชื่อหูตัวเองจริงๆ ว่าจะได้ยินคำนี้ นี่คือการทูตผลักภาระ และอิงกับมหาอำนาจอย่างชัดเจน ประเทศไทยแย่จริงๆ แถมมาเหมือนว่ากล่าวว่าหากไทยมีปัญหากับจีนแล้วกระทบกับผลประโยชน์ของประเทศ ใครจะรับผิดชอบ"
นายกัณวีร์ กล่าวว่า สุดท้ายพอตนเอาหลักฐานมาแสดงว่ามีคนต้องการรับไปจริงๆ เพราะผู้แทน กต. ระดับสูงมาชี้แจงใน กมธ.กฎหมายฯ พอเอกสารทุกอย่างที่ตนแสดงไปมันออกมา ก็มาบอกให้ผม "มูฟออน" เดี๋ยวค่อยไปดูว่าเค้ากลับไปแล้วอยู่ดีมีสุขไหม
"มันไม่ได้สิครับ คุณผิดกฎหมายไทย กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ จารีตประเพณีระหว่างประเทศ แล้วบอกลืมๆ มันซะไปดูข้างหน้าดีกว่า พูดเหมือนทำผิดแล้วไม่ยอมรับว่าทำผิด แต่ให้ไปดูว่าเยียวยาดีมั้ย คุณต้องตอบให้ได้ก่อนว่าทำผิดทำไม ความสมัครใจมีมั้ย ผลักดันเค้าทำไม"
นายกัณวีร์ กล่าวว่า ได้เตือนไปหลายครั้งว่ามันจะมีผลกระทบในเวทีระหว่างประเทศซึ่งกว้างกว่าความสัมพันธ์ไทย-จีน มันจะมาในผลกระทบต่อกลุ่มประเทศเสรีประชาธิปไตย และกลุ่มประเทศโลกมุสลิม
วันนี้ 13 มี.ค.2568 ทางรัฐสภายุโรปมีมติให้ใช้การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เป็นเครื่องมือกดดันไทยให้ปฏิรูปกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเรื่องการผลักดันผู้ลี้ภัยอุยกูร์ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งกำลังเจรจาข้อตกลงไทยกับ 27 ประเทศของยุโรป คราวนี้จะเอายังไง
"นี่เพิ่งเริ่มต้นนะครับสำหรับผลกระทบบนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มาจากสาเหตุการขาดไร้ซึ่งนโยบายการต่างประเทศที่สอดรับกับโลกศตวรรษที่ 21 มันจะมีอีกครับที่ไทยเราต้องรับผลที่ตัดสินใจบนความไม่รู้ การไม่ถาม และการมีอคติบนการสร้างงานการทูตแบบอนุรักษ์นิยมไทยๆ" นายกัณวีร์ กล่าวย้ำ
อ่านข่าว :
"สภายุโรป" โหวตประณามไทยส่งอุยกูร์-เรียกร้องใช้ FTA กดดันแก้ กม.
"ภูมิธรรม" ชี้แจง กรณีพาสื่อบินจีนดูชีวิตอุยกูร์ ยืนยันเลือกสื่อครอบคลุม
"รังสิมันต์ " หวังสื่อทำงานอิสระ ตรวจสอบชีวิตชาวอุยกูร์ในซินเจียง