ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีรัฐสภาเป็นหัวใจของการเมือง ทำหน้าที่ออกกฎหมายและตรวจสอบฝ่ายบริหาร เพื่อให้ทุกอย่างโปร่งใสและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน หลักการสำคัญของระบบนี้คือ "การถ่วงดุลอำนาจ" (Checks and Balances) ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ (สภาผู้แทนราษฎร) และ ฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี)
โดยคณะรัฐมนตรีต้องบริหารประเทศภายใต้ความไว้วางใจจากสภาฯ ถ้าสภาฯ ไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีหรือทั้งคณะ อาจต้องพ้นจากตำแหน่งได้ วิธีตรวจสอบมีตั้งแต่การตั้งกระทู้ถาม ตั้งคณะกรรมาธิการ ไปจนถึง "การอภิปรายไม่ไว้วางใจ" ซึ่งเป็นอาวุธหนักที่เด็ดขาดที่สุด
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรทั้งในระดับบุคคลและคณะ โดยต้องบริหารตามกฎหมายและนโยบายที่แถลงไว้ หากฝ่ายค้านมองว่ารัฐบาลบกพร่อง ก็สามารถยื่นญัตติเพื่อ "เปิดอภิปรายทั่วไป" ซึ่งเป็นเวทีให้สมาชิกสภาฯ ถกเถียงประเด็นสำคัญที่กระทบชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ความมั่นคง หรือการบริหารที่ผิดพลาด โดยการอภิปรายมี 2 แบบหลัก ๆ คือ "ไม่ลงมติ" เพื่อขอคำชี้แจง และ "ลงมติไม่ไว้วางใจ" ที่อาจเปลี่ยนแปลงการเมืองได้เลย
การอภิปรายไม่ไว้วางใจ คืออะไร ?
การอภิปรายทั่วไป (General Debate) คือกระบวนการที่สมาชิกสภาฯ หยิบยกปัญหาสำคัญมาถกกันในที่ประชุม เพื่อให้เกิดความชัดเจนและหาทางออก โดยแบ่งเป็น
- แบบไม่ลงมติ
- เกิดได้ในรัฐสภา มีทั้ง สส. และ สว. ร่วมกัน หรือ สภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายเดียว หรือ วุฒิสภา ฝ่ายเดียว
- เช่น ผู้นำฝ่ายค้านขอให้รัฐบาลชี้แจงปัญหาใหญ่ เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ หรือภัยพิบัติ โดยไม่มีการโหวต
- ตัวอย่าง ถ้ามีปัญหาความมั่นคง อาจเรียกประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อหาคำตอบจากรัฐบาล
- แบบลงมติไม่ไว้วางใจ
- เฉพาะในสภาผู้แทนราษฎร
- แบ่งเป็นการซักฟอก นายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรีรายบุคคลหรือทั้งคณะ
- เป็นการตรวจสอบที่เข้มข้น ถ้าผ่านมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีคนนั้นหรือทั้งคณะต้องลาออก
การอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงไม่ใช่แค่การพูดคุยธรรมดา แต่เป็นเครื่องมือที่ฝ่ายค้านใช้ฟ้องประชาชนว่า รัฐบาลทำอะไรผิด และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทางการเมือง
หลักเกณฑ์การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตาม รธน.60
- ต้องมี สส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของสภาฯ (100 คน จากทั้งหมด 500 คน) ร่วมลงชื่อยื่นญัตติ
- ห้ามยุบสภาฯ ระหว่างการอภิปราย เว้นแต่ถอนญัตติหรือมติไม่ไว้วางใจไม่ถึงกึ่งหนึ่ง
- ลงมติต้องรอวันถัดไปหลังอภิปรายจบ
- มติไม่ไว้วางใจต้องได้คะแนนเกินครึ่ง (มากกว่า 250 เสียง)
- ทำได้แค่ปีละครั้ง เพื่อป้องกันการใช้พร่ำเพรื่อ
ข้อมูลเมื่อ ส.ค.2567 จำนวน สส. ในสภาผู้แทนราษฎร ที่มีอยู่มีจำนวน 493 คน
ศึกใหญ่ซักฟอก ล็อกเป้า "แพทองธาร ชินวัตร"
ล่าสุด ฝ่ายค้านนำโดยพรรคประชาชน ภายใต้การนำของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ "น.ส.แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว ในวันที่ 24-25 มี.ค.2568 โดยวิป 3 ฝ่าย ทั้งรัฐบาล ฝ่ายค้าน และประธานสภาฯ ตกลงให้เวลาฝ่ายค้าน 28 ชั่วโมง นายกฯ ชี้แจง 5 ชั่วโมง และประธานสภาฯ 2 ชั่วโมง กำหนดการชัดเจนคือ
- 24 มี.ค.2568 เวลา 08.00 เป็นต้นไป
- 25 มี.ค.2568 เวลา 08.00 เป็นต้นไป
- 26 มี.ค.2568 เวลา 10.00 น. ลงมติ
ฝ่ายค้านระบุว่า การซักฟอกครั้งนี้มุ่งเป้าที่ "ภาวะผู้นำ" ของนายกฯ โดยเฉพาะการบริหารรัฐบาลข้ามขั้วที่ไร้ประสิทธิภาพ และข้อกล่าวหาว่า "ยอมให้บุคคลในครอบครัว" ชักใยการเมือง ซึ่งถือเป็นการท้าทายครั้งใหญ่ของนายกฯ ที่เพิ่งรับตำแหน่งได้ 6 เดือน
ด้านรัฐบาล โดยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล ยืนยันว่านายกฯ พร้อมชี้แจงเต็มที่ แต่อาจมีรัฐมนตรีช่วยตอบในบางประเด็น แต่หลายฝ่ายจับตาว่า ผลลัพธ์อาจไม่เปลี่ยน เพราะพรรคร่วมรัฐบาลมีเสียงเหนือกว่า
"อุ๊งอิ๊ง" ไม่ใช่คนแรกถูกยื่น "ซักฟอกเดี่ยว"
ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย การอภิปรายไม่ไว้วางใจ "นายกรัฐมนตรี" เพียงคนเดียวเคยเกิดขึ้นมาแล้ว 4 ครั้ง ก่อนถึงครั้งที่ 5 ของ น.ส.แพทองธาร
-
พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ รอดซักฟอก แต่ไม่รอดเก้าอี้!
กำหนดอภิปราย 3 มี.ค.2523 ผู้เสนอคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และคณะจากพรรคประชาธิปัตย์ ญัตติ ปัญหาเศรษฐกิจสุดพัง ทั้งน้ำมันแพง, เงินเฟ้อพุ่ง, เงินตึงตัว, ราคาสินค้าทะลุเพดาน, ความปลอดภัยของประชาชนย่ำแย่, นโยบายการเมืองภายในวุ่นวาย, การจัดการผู้อพยพผิดกฎหมายล้มเหลว ,การปฏิบัติงานของนายกฯ ไร้ประสิทธิภาพ
ผลลัพธ์ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชิงลาออกก่อน ในวันที่ 29 ก.พ.2523 จากแรงกดดันต่าง ๆ ทำให้ญัตติตกไป ไม่ได้อภิปราย
พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกฯ คนที่ 15 ของประเทศไทย
พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกฯ คนที่ 15 ของประเทศไทย
-
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ญัตติตก ไม่ได้อภิปรายจริง!
เมื่อวันที่ 29 พ.ค.2528 ผู้เสนอคือ "พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร" และคณะจากพรรคชาติไทย เดิมตั้งใจซักฟอก นายกฯ และรัฐมนตรีอีก 6 กระทรวง แต่ต่อมา "นายมีชัย ฤชุพันธุ์" แย้งว่าญัตติไม่ถูกต้องให้เลือกอภิปรายทั้งคณะหรือรายบุคคล ห้ามผสมกัน
ทำให้ "นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์" เสนอแก้ญัตติใหม่ อภิปรายเพียงแค่ พล.อ.เปรม คนเดียว ต่อมาสภาไม่รับแก้ไข จึงทำให้ญัตติตกไป ไม่มีการอภิปรายเกิดขึ้น
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกฯ คนที่ 16 ของประเทศไทย
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกฯ คนที่ 16 ของประเทศไทย
-
นายบรรหาร ศิลปอาชา รอดมติ แต่ยุบสภา!
เมื่อวันที่ 18-21 ก.ย.2539 ผู้เสนอ สส. 158 คน นำโดย "นายชวน หลีกภัย" จากพรรคประชาธิปัตย์ กับ 13 ข้อหา อาทิเช่น สัญชาติของนายบรรหาร, หนีภาษีขายที่ดินให้ ธปท., รับเงินสนับสนุนจากนายราเกซ สีกเสนา ผู้ต้องหาคดียักยอกเงินธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ, กรณีคัดลอกวิทยานิพนธ์ เป็นต้น
ผลลัพธ์ ในวันที่ 21 ก.ย.2539 ก่อนลงมติ พรรคร่วมรัฐบาลกดดันให้ลาออก แต่นายบรรหาร ต่อรองขอลาออกใน 7 วัน ทำให้รอดและได้มติไว้วางใจ 207 ต่อ 180 เสียง แต่แทนที่นายบรรหารจะลาออกตามข้อตกลง กลับใช้อำนาจนายกฯ ประกาศยุบสภา ทำให้ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่แทน ในวันที่ 17 พ.ย.2539 และพรรคความหวังใหม่ อันมี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นหัวหน้า ได้รับเลือกเข้ามามากที่สุดถึง 125 ที่นั่ง จึงสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกฯ คนที่ 21 ของประเทศไทย
นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกฯ คนที่ 21 ของประเทศไทย
- พล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธ รอดมติ แต่ลาออกเอง!
เมื่อวันที่ 8 ก.ย.2540 "นายชวน หลีกภัย" ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมแกนนำฝ่ายค้าน เดินหน้าลุยเต็มสูบ ยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ "บริหารผิดพลาดจนชาติพัง" โดยเฉพาะวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งที่ทำให้ไทยล้มละลาย จนต้องกู้เงินจาก IMF, ทำลายความเชื่อมั่น เกียรติภูมิ และศักดิ์ศรีของชาติ จนเกิด "วิกฤตศรัทธา" ต่อรัฐบาล, ขาดความรับผิดชอบ ทั้งคำพูด การตัดสินใจ และการแสดงออก, ไร้ความสามารถ ไร้ประสิทธิภาพ ปราศจากภาวะผู้นำ และขาดวิสัยทัศน์, ฉ้อฉล เห็นแก่พรรคพวก เลือกปฏิบัติ, คุกคามสื่อมวลชน ลิดรอนเสรีภาพประชาชน เป็นต้นผลลัพธ์ พล.อ.ชวลิต ได้รับความไว้วางใจจากพรรคร่วมรัฐบาลเพราะคะแนนเสียงที่มีมากกว่าฝ่ายค้าน แม้จะผ่านศึกการอภิปรายได้ แต่วิกฤติศรัทธาต่อรัฐบาลได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น พล.อ.ชวลิต ต้องเผชิญกระแสการคัดค้านการดำรงตำแหน่งต่อไป จากนักธุรกิจและประชาชน ในที่สุดจึงประกาศลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 6 พ.ย.2540 หลังจากที่เข้ามาบริหารประเทศได้ 11 เดือน
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกฯ คนที่ 22 ของประเทศไทย
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกฯ คนที่ 22 ของประเทศไทย
แม้ทั้ง 4 นายกฯ จะรอดมติไม่ไว้วางใจจากการถูกซักฟอกเดี่ยว แต่แรงกดดันจากการอภิปรายมักนำไปสู่จุดเปลี่ยน เช่น ลาออก ยุบสภา ครั้งนี้ของ น.ส.แพทองธาร จะเป็นอย่างไร จึงต้องจับตา!
การเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะทุกคนเสียภาษีและได้รับผลกระทบจากการบริหารประเทศ ถ้ารัฐบาลผิดพลาด ทุจริต หรือทำให้ชาติเสียหาย การอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือเวทีที่ฝ่ายค้าน "เปิดข้อมูลการทำงานของรัฐบาล" ให้ประชาชนรู้
และเป็นข้อมูลให้เราใช้ตัดสินใจในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย เช่น จะเลือกตั้งใหม่ หรือสนับสนุนใครในอนาคต
การติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางในนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 24-25 มี.ค.2568 จึงไม่ใช่แค่ดูสนุก แต่เป็นหน้าที่ของพลเมืองที่อยากเห็นประเทศดีขึ้น
ที่มา : รัฐสภา, สถาบันพระปกเกล้า, สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
อ่านข่าวอื่น :