วันนี้ (24 มี.ค.2568) สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง เรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์เข้ามาควบคุมราคาค่ารักษาพยาบาลและเวชภัณฑ์ของ รพ.เอกชน หลังพบว่ามีการตั้งราคาสูงเกินจริงอย่างน่าตกใจ โดยยกตัวอย่างเวชภัณฑ์ 4 ชนิดที่เปรียบเทียบราคาท้องตลาดกับราคาที่ รพ.เอกชน เรียกเก็บ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาที่ผู้บริโภคต้องเผชิญมานาน มีการเปิดเผยข้อมูล ดังนี้
- พลาสเตอร์ปิดแผลขนาด 6 ซม. ท้องตลาดมีราคาเฉลี่ยแผ่นละ 25 บาท (แพ็กละ 10 แผ่น 250 บาท) รพ.เอกชนแห่งหนึ่งคิดราคาแผ่นละ 224 บาท แพงขึ้นถึงร้อยละ 700 หรือเกือบ 9 เท่าตัว
- สำลีก้อนขนาด 0.35 กรัม ราคาท้องตลาดอยู่ที่ก้อนละ 0.10 บาท ถูกตั้งราคาใหม่เป็น 7 บาท/ก้อน คิดเป็นส่วนต่างถึงร้อยละ 6,900 หรือแพงกว่าปกติ 70 เท่า
- ค่าน้ำเกลือ 1,000 มิลลิลิตร ที่ใช้ฉีดเข้าเส้นเลือด ราคาท้องตลาดเพียง 45 บาท กลับถูกเรียกเก็บถึง 919 บาท แพงขึ้นร้อยละ 1,900
- ถุงมือยางทางการแพทย์ ราคาท้องตลาดคู่ละ 2.50 บาท ถูกปรับเป็น 17 บาท/คู่ แพงขึ้นร้อยละ 580
ข้อมูลเหล่านี้มาจากใบเสร็จที่ผู้บริโภคนำมาร้องเรียนกับสภาฯ แสดงให้เห็นว่าราคาค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนกำลังสร้างภาระหนักให้ประชาชน

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
ย้อนไปเมื่อวันที่ 20 มี.ค.2568 สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ยื่นหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพื่อขอให้ทบทวนนโยบาย "ร่วมจ่าย" (Co-payment) ในสัญญาประกันภัยสุขภาพ เนื่องจากผู้บริโภคจำนวนมากบ่นว่าการต้องร่วมจ่ายร้อยละ 30-50 นั้นสูงเกินไป
โดยนายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค อธิบายว่า ตามคำสั่งของ คปภ. หากผู้เอาประกันเคลมสินไหมเกินร้อยละ 200 ของเบี้ยประกัน หรือเคลมเกิน 3 ครั้งในโรคที่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล จะต้องเริ่ม "ร่วมจ่าย" ในปีถัดไป
และถ้าเคลมเกินร้อยละ 400 ในโรคทั่วไป (ไม่นับผ่าตัดใหญ่) จะต้องจ่ายร้อยละ 30 หรือสูงสุดร้อยละ 50 หากเข้าเงื่อนไขทั้ง 2 กรณี
ปัญหาคือ เมื่อรวมกับราคาค่ารักษาและเวชภัณฑ์ที่สูงเกินจริงจาก รพ.เอกชน ผู้บริโภคยิ่งแบกรับภาระหนักเข้าไปอีก
วันถัดมา วันที่ 21 มี.ค.2568 สภาฯ ได้จัดรายการ "สภาผู้บริโภค LIVE" ผ่านเพจเฟซบุ๊ก เพื่อเปิดเวทีพูดคุยในหัวข้อ "เคลียร์ชัด Co-payment เคลมเยอะ ต้องร่วมจ่าย เพราะ รพ.เอกชนแพง บัตรทองคือทางรอด"
โดยนายภัทรกรชี้ว่า การที่ รพ.เอกชน คิดราคาค่ารักษาและเวชภัณฑ์สูงเกินจริง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ค่ารักษาพุ่ง และการผลักภาระให้ผู้บริโภคร่วมจ่ายไม่ใช่คำตอบที่ยุติธรรม โดยตั้งคำถามว่า ทำไมไม่แก้ที่ต้นเหตุ ทำไมกระทรวงพาณิชย์ไม่เข้ามาควบคุมราคาค่ารักษาและเวชภัณฑ์ที่แพงเกินจริง แทนที่จะปล่อยให้ประชาชนต้องจ่ายแพงขึ้นเรื่อยๆ
ที่ผ่านมา สภาฯ พยายามผลักดันให้กระทรวงพาณิชย์เข้ามากำกับราคาค่ารักษาพยาบาลและเวชภัณฑ์ในโรงพยาบาลเอกชน แต่ไม่ได้รับการตอบรับ โดยกระทรวงฯ อ้างว่าเวชภัณฑ์เหล่านี้ไม่ใช่สินค้าควบคุม และไม่สามารถจัดการได้เหมือนยาในโรงพยาบาล สถานการณ์นี้ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากรู้สึกว่าถูกทิ้งให้เผชิญปัญหาคนเดียว โดยเฉพาะเมื่อต้องจ่ายค่ารักษาที่สูงเกินสมควรควบคู่กับนโยบายร่วมจ่ายจากประกัน
ทั้งนี้ สภาองค์กรของผู้บริโภค ยังเรียกร้องให้ประชาชนที่เจอปัญหาค่ารักษาแพงเกินจริงเก็บใบเสร็จและหลักฐานต่าง ๆ มาร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1502 เพื่อรวบรวมข้อมูลและผลักดันการแก้ไขอย่างเป็นระบบต่อไป "เราต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่ปล่อยให้ผู้บริโภคแบกภาระต่อไป" นายภัทรกรย้ำ
อ่านข่าวอื่น :
"พิชัย" ลุยมาตรการ "ซื้อหนี้ประชาชนฯ" หวังคิกออฟก่อน มิ.ย.นี้