วันนี้ (6 เม.ย.2568) นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย เปิดเผย แผนการทำงาน หรือถอนซากอาคารและช่วยเหลือผู้ติดค้าง จากเหตุอาคาร สตง.ถล่ม ว่า ได้ปรับแผนการทำงานโดยให้ทีมรื้อถอนซากอาคารเป็นทีมหลักในการทำงาน ส่วนทีมค้นหาจะเป็นทีมเสริม โดยมีกู้ภัยนานาชาติมาช่วยสนับสนุนพร้อมเทคโนโลยีช่วยค้นหาผู้ติดค้าง
ส่วนแผนการทำงานที่จะปฏิบัติหลังจากนี้ ได้เตรียมเคลื่อนย้ายซากเครนที่ถล่มในวันเกิดเหตุ ที่อยู่ในโซน B ออกจากพื้นที่ จากนั้นจะให้ทีมค้นหาพร้อมสุนัข K9 เข้าไปค้นหาผู้ติดค้าง ก่อนจะนำเครื่องจักรขนาดใหญ่เข้าไปรื้อถอนซากอาคาร ซึ่งขั้นตอนนี้จะดำเนินการควบคู่ไปกับการรื้อถอนในโซน C
แต่อุปสรรคในการทำงานขณะนี้คือ แต่การเข้าไปปฏิบัติงานจากด้านล่าง อาจเกิดอันตราย จึงมีการวางแผนให้ตัดเปิดพื้นที่จากด้านบน โดยจะนำเครื่องมือหนักเข้าดำเนินการ ส่วนการรื้อถอนซากอาคารขณะนี้ได้รื้อถอนออกจากพื้นที่กว่า 3,500 ตัน
รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า หลังจากทีมค้นหาพบชิ้นส่วนร่างกายของผู้ติดค้างหลายชิ้น ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ทำให้เกิดความสับสนในการนับจำนวนผู้เสียชีวิต เป็นผลให้หลังจากนี้การนับจำนวนผู้เสียชีวิตทางกรุงเทพมหานครจะนับจำนวนตามที่ได้รับข้อมูลยืนยันจาก สถาบันนิติเวชวิทยาโรงพยาบาลตำรวจแล้วเท่านั้น
ส่วนการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถล่มจากเหตุแผ่นดินไหว รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้ประสบภัยจากเหตุดังกล่าวแจ้งขอความช่วยเหลือผ่านระบบของกรุงเทพมหานครกว่า 40,000 เคส
หลังจากนี้จะแบ่งกลุ่มผู้เสียหายและส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ เพื่อดำเนินการเยียวยา ตามระเบียบการเยียวยาของกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย พ.ศ.2537 แก้ไขเพิ่มเติม (2564) ระบุว่า
ค่าเช่าบ้านที่เสียหายจนไม่สามารถอาศัยได้จะได้รับค่าเช่าไม่เกิน2 เดือน เดือนละ 3,000 บาท ส่วนค่าได้รับบาดเจ็บจะได้รับเงินปลอบขวัญคนละ 2,300 บาท และ เงินทุนประกอบอาชีพ เครื่องมือประกอบอาชีพที่ได้รับความเสียหาย ช่วยเหลือครอบครัวละไม่เกิน 11,400 บาท สำหรับกรณีมีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ เตรียมหารือกับกรมบัญชีกลางเพื่อกำหนดค่าเยียวยาใหม่ ให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบที่ยังไม่ได้แจ้งข้อมูล สามารถแจ้งขอรับการช่วยเหลือเยียวยาได้ที่ทุกสำนักงานเขต ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันเกิดเหตุ
อ่านข่าวอื่น :