ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ปูพรมตรวจเข้ม “ยางพารา-ปาล์มน้ำมัน”ป้องพ่อค้ารายใหญ่กดรับซื้อ

เศรษฐกิจ
21 เม.ย. 68
14:57
56
Logo Thai PBS
ปูพรมตรวจเข้ม “ยางพารา-ปาล์มน้ำมัน”ป้องพ่อค้ารายใหญ่กดรับซื้อ
กรมการค้าภายใน ปูพรมลุยตรวจสต๊อก ยางพารา-ปาล์มน้ำมัน ป้องพ่อค้ารายใหญ่กดราคารับซื้อ-ดัดแปลงเครื่องชั่ง ขู่บกระทำความผิด ดำเนินการทางกฎหมายทันที

วันนี้ (21 เม.ย.2568) นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันทั้งสินค้ายางพารา และปาล์มน้ำมัน เป็นพืชเศรษฐกิจหลัก และมีบทบาทสำคัญต่อรายได้ของเกษตรกรไทยจำนวนมาก

การซื้อขายสินค้าเกษตรดังกล่าว เป็นการซื้อขายระหว่างเกษตรกรและพ่อค้ารายใหญ่ ซึ่งการซื้อขายที่ไม่เป็นธรรมจะทำให้เกษตรกรเสียเปรียบเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่สินค้าเกษตรมีปริมาณมากและมีพ่อค้ารับซื้อน้อยราย

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน  ลงพื้นที่ตรวจการรับซื้อผลปาล์มดิบ

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ลงพื้นที่ตรวจการรับซื้อผลปาล์มดิบ

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ลงพื้นที่ตรวจการรับซื้อผลปาล์มดิบ

ดังนั้น กรมการค้าภายในมีอำนาจตามกฎหมายได้ส่งชุดเฉพาะกิจ ปูพรมติดตามการรับซื้อสินค้าเกษตรโดยเฉพาะยางพาราและปาล์มน้ำมัน ในพื้นที่แหล่งปลูกทั่วประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อค้ารายใหญ่กดราคารับซื้อของเกษตรกร

โดยสินค้ายางพาราและปาล์น้ำมัน เป็นสินค้าควบคุมตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) และมีมาตรการอย่างเข้มงวดให้ผู้ประกอบการรับซื้อ ดำเนินการตามกฎหมาย อาทิ ต้องมีการแจ้งปริมาณการครอบครอง ปริมาณการรับซื้อ การจำหน่าย การใช้ ปริมาณคงเหลือ และสถานที่เก็บ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบได้ทุกเวลา

อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า เพื่อเป็นการควบคุมไม่ให้เกิดการลักลอบขนย้าย หรือกักตุนสินค้า รวมถึงกฎหมายว่าด้วยชั่งตวงวัด ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในการกำกับดูแลการใช้เครื่องชั่งโดยเฉพาะเครื่องชั่งสินค้าเกษตรให้มีความเที่ยงตรงและได้มาตรฐาน เพื่อไม่ให้เกษตรกรเสียเปรียบในเรื่องของน้ำหนักของสินค้าเกษตร

ทั้งนี้ ปัจจุบันกรมติดตามสถานการณ์สินค้ายางพาราและปาล์มน้ำมันอย่างใกล้ชิด ซึ่งราคาสินค้ายางพาราปรับตัวลดลง ในขณะที่ราคาปาล์มน้ำมันในประเทศยังคงทรงตัว โดยราคาผลปาล์ม ระหว่าง 5.30-5.90 บาทต่อกิโลกรัม เฉลี่ยอยู่ที่ 5.60 บาทต่อกิโลกรัม

ขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ในประเทศไทยอยู่ที่ 33.35 บาทต่อกิโลกรัม และราคาของประเทศมาเลเซียอยู่ที่ 32.66 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มในประเทศอยู่ที่ 242,000 ตัน ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติเล็กน้อย ปริมาณ 234,000 ตัน

สาเหตุที่ราคารับซื้อปาล์มน้ำมันในช่วงนี้ยังไม่ปรับตัวสูงขึ้น มาจากผลกระทบของช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ ประกอบกับโรงงานสกัดบางส่วนใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการปิดปรับปรุงระบบการผลิต ส่งผลให้ปริมาณการรับซื้อผลปาล์มลดลงชั่วคราว

อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวอีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบเกษตรกร กรมฯ จึงได้เร่งติดตามและควบคุมสถานการณ์อย่างใกล้ชิด กำชับให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัด และสำนักงานชั่งตวงวัดในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ ออกไปติดตามตรวจสอบสถานการณ์การรับซื้อยางพาราและปาล์มน้ำมันในพื้นที่ และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

โดยจะมีการตรวจสอบสต๊อกน้ำมันปาล์มในโรงงานสกัด ลานเท และจุดรับซื้อต่าง ๆ โดยจัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่จริง เพื่อตรวจสอบการรับซื้อ การติดป้ายแสดงราคาที่ชัดเจน และการใช้งานเครื่องชั่งให้เป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรมต่อเกษตรกร และในส่วนของการตรวจสอบในพื้นที่ กรมฯได้จัด ชุดเฉพาะกิจ ลงพื้นที่อย่างเข้มข้น ซึ่งชุดที่ 1 ลงพื้นที่จ.ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราชแล้ว

ส่วนชุดที่ 2 มีกำหนดลงพื้นที่จ.กระบี่และตรัง ตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย. เป็นต้นไป นอกจากนี้ ยังมี ชุดตรวจจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัด (ชตว.สาขา) ที่ลงพื้นที่ครอบคลุมจ.สุราษฎร์ธานี (นครศรีธรรมราช), ชุมพร (ระนอง), เพชรบุรี (ประจวบคีรีขันธ์), สงขลา (พัทลุง, สตูล), กระบี่ (ตรัง), ยะลา (ปัตตานี, นราธิวาส) และภูเก็ต (พังงา) กำหนดระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.ถึงสิ้นเดือนนี้

ทั้งนี้การรับซื้อสินค้าเกษตรโดยเฉพาะยางพาราและปาล์มน้ำมัน ต้องเป็นไปตามกฎหมายของกรมการค้าภายใน ได้แก่ พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ที่ได้กำหนดให้ผู้จำหน่ายสินค้าต้องแสดงราคาจำหน่าย ที่จำหน่ายอย่างชัดเจน หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม จะมีโทษปรับสูงสุด 10,000 บาท (มาตรา 28) และยังห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจจงใจทำให้ราคาต่ำเกินสมควรหรือสูงเกินสมควร หรือทำให้เกิดความปั่นป่วนซึ่งราคาของสินค้าหรือบริการ (ตามมาตรา 29) และห้ามมิให้บุคคลใดกักตุนสินค้าควบคุม

โดยมีสินค้าควบคุมไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่กำหนด หรือเก็บสินค้าควบคุมไว้ สถานที่อื่นนอกจากสถานที่เก็บตามที่ได้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือไม่นำสินค้าควบคุมที่มีไว้เพื่อจำหน่ายออกจำหน่าย หรือเสนอขายตามปกติ หรือปฏิเสธการจำหน่ายหรือประวิงการจำหน่ายหรือการส่งมอบสินค้าควบคุม โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร (ตามมาตรา 30) ซึ่งหากฝ่าฝืนมาตรา 29 และมาตรา 30 จะได้รับโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี ปรับสูงสุด 140,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำความผิดที่ร้ายแรงและได้รับโทษรุนแรง

นอกจากนี้กรมฯ ได้บังคับใช้กฎหมายชั่งตวงวัดอย่างเคร่งครัดด้วย โดยมีการตรวจสอบเครื่องชั่ง เครื่องตวง เครื่องวัด ที่ใช้ในการซื้อขายสินค้า ให้มีความเที่ยงตรง ได้มาตรฐาน เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการซื้อขายระหว่างเกษตรกรและผู้ประกอบการ ได้สั่งการให้สำนักงานชั่งตวงวัดทั่วประเทศเข้าไปดำเนินการตรวจสอบเครื่องชั่งในจุดรับซื้อทุกจุด ซึ่งที่ผ่านมาฯเคยตรวจพบกรณีการดัดแปลงเครื่องชั่งในจุดรับซื้อหลายแห่งในภาคใต้ ซึ่งมีผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรโดยตรง

ผู้ประกอบการบางรายใช้วิธีการปรับแต่งเครื่องชั่งให้แสดงค่าน้ำหนักต่ำกว่าความเป็นจริง ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เกษตรกร กรมฯ จึงได้มีการดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมย้ำเตือนให้ผู้ประกอบการใช้เครื่องชั่งที่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานชั่งตวงวัด และต้องผ่านการสอบเทียบตามรอบระยะเวลาที่กำหนด เพื่อสร้างความโปร่งใสและเป็นธรรมในระบบการซื้อขาย

อย่างไรก็ตามหากมีการพบการฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น ไม่ปิดป้ายแสดงราคา กักตุน หรือจำหน่ายสินค้าโดยไม่เป็นธรรม หรือ ดัดแปลงเครื่องชั่ง กรมฯจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดโดยทันที

อ่านข่าว:

 เกษตรกรยื่นหนังสือค้านนำเข้าเนื้อ-เครื่องในโคจากสหรัฐฯ

"ไข่ไก่" หน้าฟาร์ม ขึ้นแผงละ 6 บาท มีผลวันนี้ 17 เม.ย.

พาณิชย์ ถกทูตจีน ขอผ่อนปรน ตรวจสารตกค้างทุเรียนไทย หวังดันส่งออกตลาดจีน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง