ซีอีโอ
ในเอกสารแถลงลาออกที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของโฟล์คสวาเกนเมื่อวานนี้ (23 ก.ย.2558) นายวินเทอร์คอร์นระบุว่าเขาไม่รู้เห็นต่อการกระทำดังกล่าว แต่ได้ขอลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบในฐานะผู้บริหาร
"ผมรู้สึกตกใจและไม่คิดว่าการกระทำผิดใหญ่หลวงเช่นนี้จะเกิดขึ้นที่โฟล์คสวาเกน ผมขอแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออก และเพื่อเปิดทางให้บริษัทได้สะสางปัญหาต่างๆ ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้เห็นถึงการกระทำผิดนี้ก็ตาม" นายวินเทอร์คอร์กล่าว "ผมมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้บริษัท โดยเฉพาะลูกค้าและพนักงานของโฟล์คสวาเกนมาโดยตลอด ที่ผ่านมาโฟล์คสวาเกนคือชีวิตของผม และมันจะยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไป"
นายวินเทอร์คอร์นทิ้งท้ายว่า เขาเชื่อว่าบริษัทจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ในที่สุด
เหตุอื้อฉาวที่นำมาสู่การลาออกของนายวินเทอร์คอร์นเกิดขึ้นจากการที่ สำนักงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา (EPA) ยูพีเอตรวจพบว่ารถยนต์ที่ผลิตโดยบริษัทโฟล์คสวาเกนบิดเบือนข้อมูลในซอฟท์แวร์ควบคุมการปล่อยมลภาวะของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายว่าด้วยอากาศบริสุทธิ์และกฎหมายต่อต้านการฉ้อโกงผ่านการใช้ระบบโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศของสหรัฐฯ ซึ่งต่อมามีการเปิดเผยข้อมูลว่ารถที่ติดซอฟท์แวร์ดังกล่าวมีถึง 11 ล้านคันทั่วโลก
ขณะนี้หลายประเทศเตรียมทดสอบรถยนต์โฟล์คสวาเกน 3 รุ่นที่สหรัฐฯ ตรวจพบว่ามีการบิดเบือนข้อมูลการปล่อยมลภาวะ
นายโรเบิร์ตคลิฟฟอร์ด ทนายความประจำสำนักงานกฎหมายนครชิคาโก เปิดเผยว่า ยื่นฟ้องบริษัทผลิตรถยนต์โฟล์คสวาเกนในข้อหาหลอกลวงผู้บริโภคและบิดเบือนข้อเท็จจริง
ด้านกระทรวงสิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้จัดการหารือร่วมกับผู้แทนจากบริษัทโฟล์คสวาเกนเกี่ยวกับกรอบเวลาและขั้นตอนการตรวจสอบซอฟท์แวร์ควบคุมมลภาวะว่า มีการบิดเบือนข้อมูลเหมือนที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ หรือไม่ โดยจะดำเนินการตรวจสอบรถยนต์โฟล์คสวาเกนที่ผลิตตั้งแต่ปีที่ผ่านมา 3 รุ่น ได้แก่ เจ็ตตา, กอล์ฟ และ เอาดี เอทรี ทั้งหมด 4,000-5,000 คัน ให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2558
นายมิเชล ซาแปง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังฝรั่งเศส ระบุว่า สหภาพยุโรปควรเข้ามาสอบสวนกรณีนี้อย่างละเอียด รวมถึงตรวจสอบขั้นตอนการผลิตรถยนต์ภายในโรงงานอุตสาหกรรมของฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน เพราะเรื่องมลภาวะเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน
ด้านนายแฟรงค์-วอลเทอร์ สไตน์ไมเออร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี ออกมาเรียกร้องให้บริษัทโฟล์คสวาเกนเร่งสอบสวนกรณีดังกล่าวและออกมาชี้แจงโดยเร็ว