กระแสข่าวการปรับ ครม.ประยุทธ์ 3 ตีคู่มากับข้อเท็จจริงที่คณะกรรมการตรวจสอบการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ ของกระทรวงกลาโหม เตรียมจะแถลงชี้แจงผลสรุปในวันพุธ ที่ 30 ธันวาคมนี้ โดยเหตุผลสำคัญที่ถูกอ้างอิงถึงคือการรักษาเอกภาพระหว่างรัฐบาลและกองทัพ และรักษาเสถียรภาพระหว่างรัฐบาลกับคสช. เพื่อก้าวย่างต่อไปข้างหน้าตามเป้าหมาย คสช. ที่วางโรดแมปจะสิ้นสุดบทบาทใน ปี 2560
กระแสหรือสัญญาณการปรับ ครม.เริ่มแรงขึ้น โดยเฉพาะจากถ้อยแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระหว่างเป็นประธานพิธีวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างหอประชุมกองทัพบกใหม่ มีการกล่าวย้ำหลายครั้งถึงความสัมพันธ์ทางการทหารแบบพี่แบบน้องว่ายังคงเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แม้จะไปรับบทบาทอื่นแล้ว พร้อมกับเปรยไว้ด้วยว่าทุกบทบาทของทหารต้องพร้อมยอมรับการตรวจสอบ
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในประเด็นอุทยานราชภักดิ์ ระบุว่า "สถานการณ์ตอนนี้ยิ่งกว่าออกรบ" เช่นเดียวกับ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เคยให้สัมภาษณ์ระบุว่า "ชีวิตฝ่าดงระเบิดมาเยอะ..ยังไม่หนักเท่าคำครหา" จากกรณีปัญหาอุทยรานราชภักดิ์ ต่างก็ก็ถูกตั้งข้อสังเกตถึงสัญญาณยอมรับการเปลี่ยนแปลง
ประกอบกับหลายครั้งที่นายกรัฐมนตรี พยายามชี้แจงเจตนาการรัฐประหารด้วยเจตจำนงค์ที่จะแก้ปัญหาและขับเคลื่อนประเทศให้เดินไปข้างหน้า รวมถึงการแถลงผลงานในรอบ 1 ปีเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีก็ย้ำในประเด็นนี้ พร้อมร้องขอให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกับรัฐบาลในแบบประชารัฐทุกมิติ คล้ายรับรู้ได้ว่ามีหลายปัจจัยที่จะส่งผลต่อสถานะผู้นำ
บริบทที่ว่านี้อาจสืบเนื่องและคาดการณ์ได้ถึงความจำเป็นหรือความสมเหตุสมผลในการตัดสินใจปรับ ครม.จากประยุทธ์ 3 ก้าวไปเป็นประยุทธ์ 4 เพราะไม่ได้แค่คลายปมราชภักดิ์ แต่ย่อมจะได้มากกว่าเสีย ได้ในภาพลักษณ์ใหม่ และตามทฤษฎีการปรับเปลี่ยนเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นและความนิยม และได้ในที่นี้ยังจะได้เอกภาพจากเงื่อนปมที่กำลังเผชิญอยู่ด้วยระหว่าง คสช. กองทัพ และรัฐบาล