เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เข้ารับสำนวนคดียาแก้ไข้หวัดที่มีส่วนผสมของสารซูโดอีเฟดรีน สารตั้งต้นผลิตยาเสพติดที่หายไปจากโรงพยาบาลกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์กว่า 300,000 เม็ดจากพนักงานสอบสวน เพื่อเตรียมสรุปสำนวนคดียาซูโดอีเฟดรีนที่หายไปจากโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ โรงพยายาบาลกมลาไสย โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี และโรงพยาบาลภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ
นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการ สำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ระบุว่า การตรวจสอบน่าจะมีความเชื่อมโยงกับขบวนการค้ายาเสพติด เนื่องจากตัวเลขบนซองยาเป็นชนิดเดียวกับที่พบในอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และพบข้อมูลว่าเป็นลักษณะการนำยาออกไปจากโรงพยาบาล โดยไม่มีหลักฐานการเบิกจ่าย
ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์มีคำสั่งย้ายนายสมพงษ์ ตีรถะ เภสัชกรปฏิบัติการ โรงพยาบาลอำเภอหนองกี่ ไปปฏิบัติราชการที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ หลังตรวจพบว่ามีพฤติกรรมแอบอ้างชื่อโรงพยาบาลสั่งซื้อยาซูโดอีเฟดรีนไปขายในร้านขายยาของตัวเอง พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการเพื่อเอาผิดทางวินัยร้ายแรง
ส่วนการตรวจสอบแผงยาแก้หวัดที่ถูกนำไปทิ้งบริเวณหมู่บ้านน้อย หมู่ที่ 11 ตำบลสันกำแพง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวานนี้ พล.ต.ต.ชำนาญ รวดเร็ว รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ระบุว่า มีความเชื่อมโยงกับแผงยาแก้หวัดที่ตรวจพบในบ้านเช่า เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ในหลายประเด็น โดยเฉพาะบริเวณจุดที่พบซองยาซึ่งอยู่ห่างกัน 3 กิโลเมตร ลักษณะการย่อยทำลายที่คล้ายคลึงกัน และยี่ห้อยาที่ตรงกัน 18 ยี่ห้อ และพบว่าแผงยาบางส่วนซื้อมาจากร้านขายยา
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. เข้าตรวจสอบเอกสารการผลิตยาซูโดอีเฟดรีน ของบริษัท บีเอ็ม ฟาร์มาซี จำกัด ภายในซอยลาดพร้าว 48 เขตห้วยขวาง หลังตรวจสอบพบว่า แผงยาที่ถูกทำลายที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ผลิตจากบริษัทนี้ พร้อมทั้งจะตรวจสอบร้านที่รับไปจำหน่าย และจำนวนยาที่ผลิต
