ผอ.โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีปฏิเสธเอี่ยวคดีซูโดฯหาย
พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอเปิดเผยภายหลังการสอบปากคำ นพ.พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ซึ่งดีเอสไอตรวจสอบพบว่ายาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีนหายออกจากระบบจำนวนมากที่สุดถึง 7.2 ล้านเม็ด และมีการเบิกจ่ายถึง 129 ครั้ง เบื้องต้น ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานียังให้การปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการหายของยาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีนของโรงพยาบาล พร้อมนำเอกสารการลงนามยอมรับผิดของเภสัชกร สมชาย แซ่โค้ว เภสัชกรชำนาญการโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ที่ยังหลบหนีมายืนยันกับพนักงานสอบสวน รวมถึงเอกสารขั้นตอนการเบิกจ่ายยา และการบริหารงานของโรงพยาบาลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2553 ถึงปัจจุบัน มามอบให้กับพนักงานสอบสวนด้วย โดยประเด็นการสอบสวนของดีเอสไอจะเน้นสอบที่การเบิกจ่ายยาว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือไม่ และการหายของยาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีนจากระบบว่าเกิดการทุจริตในขั้นตอนใด
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี กล่าวว่า การตรวจสอบเอกสารในการเบิกจ่ายยาที่เภสัชกรสมชายนำมายื่นเรื่องขอเบิกตามระเบียบนั้นเป็นเอกสารเท็จ ซึ่งเภสัชกรสมชายรับว่าดำเนินการเพียงคนเดียว ส่วนที่มีข้อโต้แย้งว่าทำไมโรงพยาบาลไม่สังเกตรายละเอียดในการเบิกจ่ายก่อนหน้านี้ เพราะว่ารายงานการเบิกจ่ายยาที่ยื่นมาให้เซ็นตามระเบียบนั้นมีการขอจัดซื้อตามระเบียบ
วันนี้ ดีเอสไอได้เรียกสอบปากคำผู้อำนวยการโรงพยาบาล 4 แห่ง ประกอบด้วย โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี, โรงพยาบาลดอยหล่อ, โรงพยาบาลฮอด จังหวัดเชียงใหม่, โรงพยาบาลทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคงดีเอสไอ ระบุเพิ่มเติมถึงการสอบปากคำวันนี้ว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเข้าชี้แจง โดยจะนำข้อมูลที่ได้ไปตรวจสอบกับข้อมูลที่ได้จากการสอบปากคำจากตัวแทนสำนักปลัดสาธารณสุข และกองสนับสนุนบริการสุขภาพ ที่เข้าให้ข้อมูลเมื่อวานนี้ ขณะเดียวกัน สัปดาห์หน้า พนักงานสอบสวนจะลงพื้นที่สอบปากคำผู้เกี่ยวข้องกับการอนุมัติการจัดซื้อ และการควบคุมการเบิกจ่ายยา
นอกจากนี้ ดีเอสไอ ยังได้เชิญ นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยามาชี้แจงเพิ่มเติมจากเมื่อวานนี้ ในประเด็นขั้นตอนการควบคุมและผลิตยา ซึ่งทั้งหมดให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี และหากมีพยานหลักฐานเพียงพอ ดีเอสไอจะหารือร่วมกับพนักงานอัยการ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดได้ทันที