สมาคมต่อต้านภาวะโลกร้อน จี้รัฐบาลย้ายโรงกลั่นน้ำมันออกนอกเมือง
นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านภาวะโลกร้อน ได้ยื่นหนังสือให้กับรัฐบาลและกระทรวงพลังงานถึงแนวทางการย้ายโรงกลั่นน้ำมันออกจากพื้นที่ชุมชนไปแล้วในช่วงเช้าวันนี้ (5 ก.ค.) โดยมีผลทางกฎหมายซึ่งรัฐบาลจะต้องพิจารณาภายใน 90 วัน และหากไม่มีการตัดสินใจจะสามารถยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ทันที ทั้งนี้เชื่อว่าหากรัฐบาลมีแรงจูงใจ เช่น การสนับสนุนแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำและจัดหาสถานที่การก่อตั้งที่เหมาะสม รวมถึงช่วยเหลือมาตรการด้านภาษี ให้กับเอกชน เชื่อว่าจะสามารถย้ายโรงกลั่นออกจากพื้นที่ชุมชนได้ภายใน 5-10 ปี
ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า โรงกลั่นแห่งนี้ ตั้งมานานกว่า 50 ปีแล้วและปัญหาที่เกิดขึ้น มาจากความผิดพลาดในการบริหารจัดการผังเมือง แต่หากจะย้ายโรงกลั่นจริง ก็เชื่อว่า ค่าใช้จ่ายกว่า 100,000 ล้านบาทนั้น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เท่ากับการหาพื้นที่ที่เหมาะสมทั้งด้านระบบขนส่ง ระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ให้สอดคล้องกับความต้องการของคนกรุงเทพ ที่ใช้น้ำมันมากกว่าร้อยละ 30 ของการใช้น้ำมันทั้งประเทศ ซึ่งหากสามารถทำได้ ก็พร้อมสนับสนุนการย้ายโรงกลั่นดังกล่าว และได้มอบนโยบายให้กับการนิคมแห่งประเทศไทยไปแล้ว ว่าการตั้งนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ จะต้องคำนึงถึงพื้นที่กั้นระหว่างชุมชนและนิคมอุตสาหกรรม หรือบัฟเฟอร์โซน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม
ทางด้านความคืบหน้าเหตุการณ์อุบัติเหตุโรงกลั่นรั่ว และเกิดเพลิงไหม้เมื่อวาน (4 ก.ค.) ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนสาเหตุแท้จริง โดยเบื้องต้น ได้รับรายงานจากบริษัท บางจากวันนี้ว่า จะลงพื้นที่ ทำความเข้าใจและการมีส่วนร่วมกับชุมชนโดยรอบมากขึ้น ผู้ช่วยศาสตรจารย์ ดร.กิติกร จามรดุสิต ผู้อำนวยการศูนย์นิเวศอุตสาหกรรม คณะสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่าแม้เบื้องต้นจะยังไม่พบความปัญหาสารเคมีปนเปื้อนในอากาศ แต่ในระยะยาว ควรต้องเฝ้าระวังสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฝนกรดได้ พร้อมแนะให้บริหารจัดการชุมชม โดยรอบพื้นที่อุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้สามารถอยู่ด้วยกันอย่างปลอดภัย