19 ก.ค. 67
จิราภพ ทวีสูงส่ง
https://www.thaipbsbeta.com/now/content/1409
เคยสังเกตกันบ้างหรือเปล่าว่าเวลาที่เราคุยอะไรกันอยู่ก็ดี ไม่นานก็จะมีโฆษณาเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ โผล่ขึ้นมาแนะนำในเฟซบุ๊ก หรือแค่เดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า คุณก็จะได้รับข้อความเชิญชวนซื้อของหรือได้รับการแนะนำโปรโมชันดี ๆ จากร้านค้าในห้าง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เพราะไม่ว่าจะทำอะไร AI (ปัญญาประดิษฐ์) กำลังจับจ้องคุณอยู่ ทุกครั้งที่คุณท่องโลกโซเชียลมีเดีย AI จากแต่ละแพลตฟอร์มจะเก็บข้อมูลการเล่นโซเชียลฯ ของคุณ เรียนรู้ จดจำพฤติกรรมต่าง ๆ และนำเสนอคอนเทนต์หรือโฆษณาที่ใกล้เคียง ตรงกับความสนใจหรือเลือกสิ่งที่มีแนวโน้มว่าคุณจะซื้อมากที่สุดให้คุณเสมอ
ทำให้หลายครั้งก็อดไม่ได้ที่จะซื้อหรือใช้บริการตามที่ AI คัดมาให้ นี่คือหนึ่งในความสามารถที่ทำให้ AI (ปัญญาประดิษฐ์) เข้ามาเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในแวดวงการตลาด (Marketing) ซึ่งจากรายงานของ MSpoweruser ระบุว่า มากกว่า 73% ของเหล่านักการตลาดใช้ AI เป็นตัวช่วยในการทำงาน และปัจจุบันเครื่องมือ AI ที่ใช้ในการตลาด มีมูลค่าอยู่ที่ 15.84 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในอีก 5 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นว่า AI กลายเป็นผู้ช่วยสำคัญและมีโอกาสเติบโตอีกมากในอนาคต
ไทยเองมีผู้ประกอบการจำนวนมากเริ่มนำ AI (ปัญญาประดิษฐ์) มาเป็นเครื่องมือช่วยทำการตลาดและเห็นผลสำเร็จ แต่ก็ยังมีอีกจำนวนไม่น้อยตกที่ยังไม่พร้อม มีความกังวลที่จะนำ AI มาใช้ ด้วยเหตุนี้ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) จึงได้จัด ETDA LIVE ชวนกูรูวงการการตลาดมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองมาพาทุกคนเปิดใจและทำความรู้จัก “AI Marketing” ให้มากขึ้น
หัวใจสำคัญของการทำการตลาด คือ การเข้าใจและเข้าถึงผู้บริโภค ซึ่งโจทย์ใหญ่ที่นักการตลาดต้องพบคือ ทำอย่างไร ? จะรู้ได้ว่า คนที่เราต้องการสื่อสารด้วยเป็นคนแบบไหน ชอบอะไร มีไลฟ์สไตล์แบบไหน โดยเฉพาะผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่พฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ Market Segmentation มีความหลากหลาย กลุ่มเป้าหมายมีความละเอียดและซับซ้อนมากขึ้น
ซึ่งก่อนยุคดิจิทัลจะเข้ามา การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ต้องใช้กำลังคนและเวลาในการเก็บข้อมูล ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ทำรีเสิร์ช วิเคราะห์ข้อมูล สิ้นเปลืองทั้งกำลังคน เวลา และงบประมาณจำนวนมาก แต่กระบวนการเหล่านี้สามารถย่นระยะเวลาและทำให้ง่ายขึ้นได้ด้วย AI (ปัญญาประดิษฐ์) เพราะหนึ่งในความสามารถอันโดดเด่นของ AI คือ สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล (BIG DATA) ที่ดึงมาจากแหล่งต่าง ๆ ได้ และนำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อยอดประยุกต์ใช้ได้อย่างหลากหลายในทุกขั้นตอน ทั้งทำให้เห็น Customer Insights ช่วยวิเคราะห์ทำนายพฤติกรรมลูกค้า ทำให้รู้ว่าลูกค้ามีพฤติกรรมอย่างไรก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า เช่น เข้าชมเว็บไซต์กี่ครั้ง คลิกแบนเนอร์โฆษณาหรือเปล่า มีความชอบหรือสนใจ หรือรู้สึกอย่างไรต่อสินค้าและเหมาะกับสินค้าตัวไหน
รวมถึงมีแนวโน้มจะซื้อหรือไม่ซื้อ ช่วยให้สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ สื่อสารกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงประเด็นมากขึ้น เลือกเจาะเฉพาะกลุ่มที่มีโอกาสซื้อสูงได้ ไม่สูญงบประมาณไปกับการโฆษณาแบบหว่าน ช่วยสะท้อนเทรนด์ในปัจจุบัน เกิด Real-time Marketing เกิดการปรับกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีขึ้น สร้างสรรค์แคมเปญส่งเสริมการขายได้อย่างตรงใจกลุ่มเป้าหมาย มีประสิทธิภาพ รวมถึงสร้างโอกาสในการเจาะกลุ่มเป้าหมาย หรือ Personalized Marketing ที่เข้าถึงลูกค้าได้อย่างแม่นยำและนำเสนอสินค้าหรือบริการที่เหมาะสมได้ในระดับปัจเจกบุคคล ทำให้ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาค้นหาสินค้าด้วยตัวเองและเกิดความประทับใจจนกลับมาซื้อซ้ำ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว และที่สำคัญ ช่วยวิเคราะห์คู่แข่งได้อย่างเจาะลึก สามารถช่วยหาข้อมูลเชิงลึกของคู่แข่ง วิเคราะห์ และ สรุปผลได้อย่างรวดเร็ว ลดระยะเวลาในการทำ SWOT Analysis รวมถึงประเมินผลกระทบในด้านต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อนำไปพัฒนากลยุทธ์และเตรียมการรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้เชี่ยวชาญต่างลงความเห็นว่า นอกจากช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและคาดการณ์พฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำแล้ว AI (ปัญญาประดิษฐ์) ยังเป็นผู้ช่วยสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กร โดยเฉพาะในวงการเอเจนซี ที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านทำงานได้ง่ายขึ้น กว้างขึ้น และเร็วขึ้น หากฉายภาพให้ชัดขึ้นคือ AI ช่วยผ่าทางตัน เพราะเปรียบเหมือนเพื่อนคนเก่งที่มีคลังความรู้มหาศาลมาช่วยคิด วิเคราะห์ เพิ่มโอกาสในการมองเห็นไอเดียใหม่ ๆ เพิ่มทางเลือกใหม่ ช่วยให้การตัดสินใจถูกต้องแม่นยำขึ้น ช่วยให้ทำน้อยแต่ได้มาก ผ่านมุมการเร่งกระบวนการทำงานที่ยุ่งยากหลายขั้นตอนให้ทำได้เร็วขึ้น แต่ใช้คน ใช้งบประมาณน้อยลง
ที่สำคัญยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานทั้งในเชิง Productivity และรายได้ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มทางเลือกต่าง ๆ ใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วและสามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงได้อย่างเรียลไทม์ เช่น ทดลองทำคอนเทนต์ตัวอย่าง 4 คอนเทนต์ แล้วนำไปทดลองยิงโฆษณาโปรโมต จากนั้นรอดูผลหลังเผยแพร่ หากพบว่า คอนเทนต์ไหน Engagement ไม่ดี เข้าไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายก็อาจปิดไปและนำงบโฆษณาไปทุ่มที่คอนเทนต์ ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า นอกจากนี้ ช่วยให้สื่อสารกันได้อย่าง “เห็นภาพ” มากขึ้น กับการทำให้ไอเดียเป็นรูปเป็นร่างได้ด้วย Storyboard ที่ Generate ด้วย AI (ปัญญาประดิษฐ์) เพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างทีมงานในองค์กร
รวมถึงการสื่อสารกับลูกค้าให้เห็นภาพที่ชัดเจน ตรงกัน ช่วยประหยัดเวลา และลดข้อผิดพลาดต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และอีกเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่า AI (ปัญญาประดิษฐ์) จะทำได้ คือ ช่วยเสริมความยั่งยืนขององค์กร โดยสามารถนำองค์ความรู้ กระบวนการทำงาน ประสบการณ์ หรือผลงานต่าง ๆ ขององค์กรมาใช้สอน AI ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถเข้าถึง ทำความเข้าใจและถ่ายทอดได้ ช่วยลดความเสี่ยงขององค์กรในกรณีที่มีพนักงานที่มีความรู้และประสบการณ์ลาออก ทำให้พนักงานที่มาใหม่สามารถเรียนรู้งานได้ในเวลาอันรวดเร็วและรับช่วงต่อได้แบบไม่มีสะดุด
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจเริ่มกังวลว่าถ้า AI (ปัญญาประดิษฐ์) ทำได้ขนาดนี้ แล้วจะมาแย่งงานมนุษย์ หรือ นักการตลาดหรือไม่ อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะผู้เชี่ยวชาญต่างยืนยันตรงกันว่า แม้ AI จะดูเก่งไปทุกเรื่อง แต่ยังทำได้แค่เป็น “ผู้ช่วยคนเก่ง” ของเราเท่านั้น พร้อมแนะนำการใช้ AI ให้ปัง สร้างพลังให้งานการตลาด ดังนี้
AI (ปัญญาประดิษฐ์) เป็นเทคโนโลยีที่ถูกวางโปรแกรมไว้ ดังนั้นข้อมูลจาก AI อาจยังไม่ถูกต้อง 100% อาจคลาดเคลื่อนหรือไม่ทันยุคสมัยได้ ฉะนั้นจึงต้องคอยอัปเดตโปรแกรมอยู่เสมอและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทุกครั้ง
AI (ปัญญาประดิษฐ์) ไม่สามารถทำงานที่มีความละเอียดและซับซ้อนมาก ๆ ได้ อย่างเช่น การวางกลยุทธ์ เราจงต้องแบ่งงานออกเป็นส่วนย่อย ๆ ก่อน และให้ AI ทำทีละส่วนที่เฉพาะเจาะจงและชัดเจนซึ่งจะช่วยให้ AI ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อัปเดตข้อมูลใหม่ ๆ ให้ AI (ปัญญาประดิษฐ์) ได้เรียนรู้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีข้อมูลเฉพาะขององค์กรมาสอน AI จะยิ่งช่วยให้ AI มีความแม่นยำและทำงานได้เฉพาะเจาะจงและถูกต้องมากขึ้น เช่น หากต้องการทำ AI แชตบอต ก็ให้นำข้อมูลที่ทีมแอดมินใช้เป็นประจำและวิธีการคุยกับลูกค้าให้ AI (ปัญญาประดิษฐ์) ได้เรียนรู้ AI ก็จะพูดคุยหรือตอบโต้กับลูกค้าได้ใกล้เคียงคนจริง ๆ
มอง AI (ปัญญาประดิษฐ์) เป็นเหมือนน้องในที่ทำงานที่ไม่ปล่อยให้ทำงานตามลำพัง แต่เราต้องคอยกำหนดทิศทางการทำงาน ควบคุม ดูแล ดูภาพรวม และตัดสินใจทั้งหมด
และสุดท้ายต้องใช้ AI (ปัญญาประดิษฐ์) อย่างคำนึงถึงหลักจริยธรรม ใช้อย่างมีธรรมาภิบาลและมีความรับผิดชอบ รักษาความปลอดภัยของข้อมูลไม่ให้รั่วไหล เคารพความเป็นส่วนตัว นำข้อมูลไปใช้อย่างเหมาะสม และไม่ละเมิดลิขสิทธิ์
จะเห็นได้ว่าข้อกังวลเรื่อง AI (ปัญญาประดิษฐ์) กำลังจะมาแทนที่มนุษย์นั้นอาจยังไม่เป็นจริงในเร็ววันนี้ เพราะยังมีอีกหลายงานที่ AI ยังไม่สามารถทำแทนมนุษย์ได้ แต่เพียงแค่มาเป็น “ส่วนเสริม” ในส่วนที่มนุษย์ทำไม่ได้หรือหากทำได้ก็ต้องใช้กำลังคน เวลา และงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งให้ AI ทำจะดีกว่า ส่วนมนุษย์ก็ทำหน้าที่กำกับดูแล เสริมในส่วนที่ AI ยังมีข้อบกพร่อง และทำงานส่วนอื่น ๆ ที่ AI ยังทำไม่ได้แทน รวมถึงอย่าลืมหมั่นยกระดับทักษะอยู่เสมอ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech
เจ้าหน้าที่เนื้อหาดิจิทัล สำนักสื่อดิจิทัล ไทยพีบีเอส / Specialist Contents / Journalist / Writer / Creative Copywriter / Proofreader Lover : (jiraphob.thawisoonsong@gmail.com)