จากกระแสข่าว สวีซีหยอน หรือ ซานไช่ จากรักใสใสหัวใจ 4 ดวง (Meteor Garden) เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ด้วยวัยเพียง 48 ปี สร้างความแปลกใจ โรคที่ใกล้ตัวอย่าง ไข้หวัดใหญ่ อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้อย่างไร ?
รายงานจากสื่อบันเทิงของไต้หวัน เผยถึงแถลงการณ์ของครอบครัวดาราชื่อดังสรุปได้ว่า
“ขอขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ครอบครัวของเราเดินทางไปท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่น และพี่สาวที่รักที่สุดของฉัน ได้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่และเกิดภาวะปอดอักเสบจนจากพวกเราไปอย่างน่าเศร้า ฉันรู้สึกขอบคุณที่ได้เกิดมาเป็นน้องสาวของเธอ และซาบซึ้งที่เราต่างดูแลกันและกันมาโดยตลอด ฉันจะระลึกถึงเธอเสมอ ขอให้เธอหลับให้สบาย พวกเรารักเธอเสมอ และจะจดจำเธอไปตลอดกาล”
Thai PBS ชวนทุกคนมาค้นดูสาเหตุ ไข้หวัดใหญ่ทำให้เสียชีวิตได้อย่างไร ? ระมัดระวังป้องกันอย่างไรได้บ้าง ?
ไข้หวัดใหญ่ทำให้เสียชีวิตได้อย่างไร ?
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ พบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน (มิถุนายน – ตุลาคม) และฤดูหนาว (มกราคม - มีนาคม) ซึ่งอาการของโรคมีตั้งแต่อาการเล็กน้อยถึงขั้นเสียชีวิตได้
ไข้หวัดใหญ่ต่างจากไข้หวัดปกติตรงที่ไข้หวัดใหญ่จะเกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) ซึ่งมักจะมีอาการรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา และมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงได้
ทั้งนี้ ไข้หวัดใหญ่ในคนมีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ คือ A B และ C มีเพียงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B เท่านี้ที่ระบาดโดยทั่วไป และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ถือเป็นสายพันธุ์ที่มีอาการรุนแรงที่สุด เนื่องจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีความสามารถในการกลายพันธุ์ได้สูง ทำให้ไวรัสเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้มากกว่า นอกจากนี้ ยังแพร่กระจายติดต่อได้ทั้งคนและสัตว์ เช่น นก หมู ทำให้เกิดการระบาดใหญ่ได้
ในส่วนของกระบวนการเกิดโรคนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากไวรัสเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน และทำให้เกิดการอักเสบที่เยื้อบุทางเดินหายใจตั้งแต่จมูก ช่องคอ หลอดลมในปอด ทำให้เกิดอาการไอ เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ หากอาการอักเสบถึงขั้นรุนแรงก็มีผลทำให้เสียชีวิตได้
ทว่า สิ่งที่น่ากลัวและทำให้เสียชีวิตคือ “ภาวะแทรกซ้อน” โดยเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จะเข้าไปกดภูมิคุ้มกันบางส่วน เมื่อรวมกับแผลตามช่องปาก ช่องคอ ทางเดินทายใจ ทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในร่างกายของเราเองสามารถเข้าสู่ร่างกายทำให้เกิดอาการอื่น ๆ ตามมา โดยมีอาการที่พบบ่อยคือการติดเชื้อในปอดทำให้ปอดเสียหายและทำให้เสียชีวิตได้
ทั้งนี้ เมื่อเกิดการติดเชื้อเข้าสู่ปอด อาการของโรคจะถือว่ารุนแรงและดำเนินไปอย่างรวดเร็ว การรักษาหากพบว่าป่วยจึงควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับยาต้านไวรัสได้ทันท่วงที
ไข้หวัดใหญ่ กับ 3 ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงฤดู
"ไข้หวัดใหญ่" ตามฤดูกาลไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ การระบาดของโรคนี้มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยทางสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป และพฤติกรรมของมนุษย์ที่ปรับตัวตามฤดูกาล
1.ปัจจัยทางสภาพอากาศในฤดูร้อนสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
อุณหภูมิและความชื้น อุณหภูมิที่สูงขึ้นในฤดูร้อนอาจไม่เอื้อต่อการอยู่รอดของเชื้อไวรัส "ไข้หวัดใหญ่" เท่าฤดูอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ความชื้นที่สูงขึ้นในบางพื้นที่ อาจช่วยให้เชื้อไวรัสอยู่ในละอองน้ำในอากาศได้นานขึ้น ทำให้แพร่กระจายได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความชื้นที่เกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูร้อน อาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ susceptibility ต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
แสงแดด ปริมาณแสงแดดที่มากขึ้นในฤดูร้อน อาจช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส "ไข้หวัดใหญ่" ได้บ้าง อย่างไรก็ตาม แสงแดดที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาผิวหนังและส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม ซึ่งอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงได้
การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ: สภาพอากาศในฤดูร้อนมักมีความแปรปรวน เช่น ฝนตกหนัก ลมพายุจากช่วงพายุฤดูร้อน เดี๊ยวอากาศร้อนจัดสักพักเดี๊ยวอากาศก็ชื้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการอยู่รอดและการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส "ไข้หวัดใหญ่" ได้
2.พฤติกรรมของผู้คนในช่วงฤดูร้อน
การรวมตัวในสถานที่ปรับอากาศ ในช่วงฤดูร้อน ผู้คนมักใช้เวลาอยู่ในอาคารปรับอากาศมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส "ไข้หวัดใหญ่" ในสถานที่เหล่านี้ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการระบายอากาศไม่ดี
การเดินทางและการท่องเที่ยว ช่วงฤดูร้อนเป็นช่วงที่ผู้คนนิยมเดินทางและท่องเที่ยว ซึ่งอาจทำให้มีการเคลื่อนย้ายของเชื้อโรคไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การเดินทางไปยังสถานที่ที่มีการระบาดของโรค ก็เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
3.ไข้หวัดใหญ่สามารถระบาดในฤดูร้อน
การศึกษาการระบาดของ "ไข้หวัดใหญ่" ในอดีต ช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างฤดูกาลกับการระบาดได้ดียิ่งขึ้น แม้ว่าการระบาดในฤดูร้อนจะไม่บ่อยเท่าฤดูอื่น ๆ แต่ก็เคยเกิดขึ้นในอดีต เช่น การระบาดของ "ไข้หวัดใหญ่" H3N2 ในช่วงฤดูร้อนปี 2561 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโรคนี้สามารถระบาดได้ในทุกฤดู หากมีปัจจัยที่เหมาะสม
กลุ่มเสี่ยงและปัจจัยเสี่ยงในการระบาดของ "ไข้หวัดใหญ่"
แม้ว่าทุกคนมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแต่มีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อน
กลุ่มเสี่ยงของผู้ที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ
ผู้สูงอายุและเด็กเล็ก กลุ่มนี้ยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงหลักในทุกฤดู รวมถึงฤดูร้อนด้วย เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงเท่าคนทั่วไป
ผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือโรคภูมิคุ้มกันบก จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงมากกว่า
ผู้ที่ทำงานในสถานที่ปรับอากาศ ผู้ที่ทำงานในสถานที่ปรับอากาศเป็นเวลานาน อาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ "ไข้หวัดใหญ่" ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีการรวมตัวกันในสถานที่ปิดและอาจมีการระบายอากาศไม่ดี
นักท่องเที่ยวและผู้ที่เดินทางบ่อย การเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่มีการระบาดของโรค จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ "ไข้หวัดใหญ่"
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ สิ่งที่ต้องรู้
การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย "ไข้หวัดใหญ่" จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
การไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน การไม่ล้างมือบ่อยๆ การไม่สวมหน้ากากอนามัย และการไม่เว้นระยะห่างทางสังคม จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
การละเลยสุขภาพส่วนบุคคล การพักผ่อนไม่เพียงพอ การรับประทานอาหารไม่สมดุล และการไม่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลงและมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
ไข้หวัดใหญ่รักษาอย่างไร ? ต้องรีบพบแพทย์เมื่อไร ?
หากอาการไข้หวัดใหญ่ไม่รุนแรงสามารถดูแลตัวเองที่บ้านได้ เช่น เมื่อมีไข้สูงให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว ใช้ยาลดไข้พาราเซตามอล หากมีน้ำมูกให้ใช้ยาลดน้ำมูกและยาละลายเสมหะ ดื่มน้ำให้เพียงพอ แต่หากมีอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส หายใจลำบาก ไม่หายเองภายใน 3 วัน ผู้ป่วยจำเป็นต้องพบแพทย์ได้รับยาต้านไวรัส โอลเซลทามิเวียร์ (oseltamivir) หากมีอาการหอบเหนื่อย มีความเสี่ยงของอาการปอดอักเสบหรือมีอาการรุนแรงอื่น จำเป็นจะต้องได้รับการรักษาโดยนอนที่โรงพยาบาล เพื่อรับการรักษาจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
ป้องกันอย่างไร ? ไม่ให้ไข้หวัดใหญ่อาการรุนแรง
การป้องกันไข้หวัดใหญ่คล้ายการป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่น คือ ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ ไม่ใช้สิ่งของร่วมกัน ไม่อยู่ใกล้ผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด หรือปิดปาก ปิดจมูกด้วยหน้ากากอนามัย
ส่วนการป้องกันอาการไข้หวัดใหญ่ไม่ให้เกิดอาการรุนแรงนั้น การรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สามารถช่วยได้ โดยวัคซีนสามารถลดการติดเชื้อ และช่วยลดความรุนแรงของอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงได้ง่าย ได้แก่
- หญิงมีครรภ์
- เด็กเล็ก อายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี
- บุคคลที่มีอายุ 65 ปี ขึ้นไป
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หืด หัวใจ ไตวาย หลอดเลือดสมอง เบาหวาน ธาลัสซีเมีย มะเร็งที่อยู่ระหว่างได้รับเคมีบำบัด ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ติดเชื้อเอชไอวี
- ผู้ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 100 กิโลกรัม หรือดัชนีมวลกายตั้งแต่ 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
การรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ควรเข้ารับทุกปี เนื่องจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นเชื้อที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตามธรรมชาติทุกปี วัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงถูกผลิตตามมาตรฐานจากองค์การอนามัยโลกตามการคาดการแนวโน้มของสายพันธุ์ที่คาดว่าจะมีการระบาดในปีนั้น ๆ
คนไทยโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสามารถเข้ารับวัคซีนป้องกันได้ฟรีทุกสิทธิการรักษา (ประกันสังคม สวัสดิการข้าราชการ บัตรทอง) สามารถสอบถามข้อมูลช่วงเวลาและสถานที่รับวัคซีนได้ที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 1330
อ้างอิง
- สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย
- กรมควบคุมโรค