หนึ่งในปัญหาสุดคลาสสิกของมนุษยชาติ นั่นคือ “ยืมแล้วไม่คืน” ทั้งยืมเงิน ยืมที่ ยืมบ้าน ยืมรถ ยืนสร้อย และอีกหลายต่อหลายยืม ปัญหาจะไม่เกิด หาก “ยืม” แล้ว “คืน” แต่เหตุพราะ “ยืมแล้วไม่คืน” จึงเจ็บใจต่อคนให้ และเย็นชาในหัวใจสำหรับคนที่ไม่ยอมคืน
Thai PBS ไม่แนะนำให้ยืมแล้วไม่คืน แต่จะชวนไปสำรวจ “โลกแห่งการหยิบยืม” เรียนรู้ให้กว้าง เพื่อเป็นทางสร้างความเข้าใจต่อผู้ให้และผู้ (ที่คิดจะ) ยืม
สังเกตพฤติกรรม “ผู้ยืม” และ “ผู้ให้ยืม” ผ่านจิตวิทยา
หากมองพฤติกรรม “การยืม” ในเชิงจิตวิทยา จะพบว่า ผู้ยืม และ ผู้ให้ยืม มักมีลักษณะที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ในมุมของผู้ยืม การยืมแล้วไม่คืน บุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่มักเป็นคนที่มี Self Control ต่ำ กล่าวคือ ไม่สามารถควบคุมการใช้เงินหรือสิ่งของได้ดี และไม่เห็นคุณค่าของการรับผิดชอบ
รวมทั้งบางคนอาจมี ภาวะความขัดแย้งทางความคิด หรือ Cognitive Dissonance คือ รู้ว่าทำผิด แต่พยายามหาเหตุผลให้กับตัวเอง อีกปัจจัยที่อาจเกิดร่วมด้วย นั่นคือ การใช้วิธี Test Boundary หรือการทดสอบขีดจำกัดของคนอื่น ผู้ที่ชอบยืมบางคน มักใช้วิธีทดลอง (ยืม) ดูว่าจะได้หรือไม่ และหากยืมไปแล้วไม่มีการทวง หรือไม่มีผลกระทบ คนเหล่านี้ก็จะใช้พฤติกรรมนี้ต่อไป
ในมุมของผู้ที่ถูกยืม มักพบในคนที่มีความเห็นอกเห็นใจสูง หรือมี Empathy สูง อีกประการคือ มักเป็นคนขาดขีดจำกัดส่วนตัว (Weak Personal Boundaries) กล่าวคือ ไม่สามารถตั้งขอบเขตได้ว่า อะไรคือสิ่งที่ควรให้ และอะไรที่ควรปฏิเสธ
นอกจากนี้ หากให้ยืมไปแล้ว จะพบกรณีที่เรียกว่า ความกลัวการเผชิญหน้า (Fear of Confrontation) ทำให้ไม่กล้าทวง เพราะกลัวความสัมพันธ์จะเสียไป
เหตุการณ์ที่มักเกิด เมื่อเริ่มมีการ “ยืม”
เมื่อ “ยืม” แล้ว “คืน” มักไม่เกิดปัญหา แต่หากเป็นกรณ๊ยืมแล้วไม่คืน มักจะตามด้วยเหตุการณ์เหล่านี้
- ทวงยากลำบากใจ
- หนำซ้ำลูกหนี้ยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน
- หนำซ้ำในหนำซ้ำ ยังมีหน้ามายืมซ้ำอีก
- สุดท้ายปลายทาง คือการเสียมิตรภาพไปอย่างไม่ควรจะเป็น
ถ้าต้องเป็น “คนยืม” เรื่องอะไรที่ควรตระหนัก
- ตระหนักถึงความรับผิดชอบ เมื่อไรที่เป็นหนี้ ต้องหาทางคืนให้หมดสิ้น
- หัดแก้นิสัยตนเอง โดยเพาะการมีวินัยทางการเงิน เพื่อไม่ต้องไปหยิบยืมคนอื่น
- ฝึกการมองเห็นคุณค่าของความน่าเชื่อถือ เพราะการยืมแล้วไม่คืน ทำให้สูญเสียเครดิต
- ตระหนักเรื่องความสัมพันธ์ ลองเรียนรู้ที่จะขอความช่วยเหลือในแบบอื่น ๆ (ที่ไม่ใช่การยืม) เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีเอาไว้
สิ่งที่ควรปฏิบัติ ถ้าต้องเป็นคนที่ “ถูกยืม”
- เช็กสัญญาณผู้ที่มายืม สังเกตว่ามีความน่าเชื่อถือ หรือมีความน่าไว้วางใจแค่ไหน
- หากตัดสินใจว่าจะให้ยืม ควรใหยืมในแบบที่ตัวเราไม่เดือดร้อน
- ไม่จำเป็นต้องตอบสนองทั้งหมด และให้คิดว่าเป็นการให้ครั้งเดียว เพื่อเป็นเกราะป้องกันการยืมครั้งต่อ ๆ ไป
- การยืมควรมีสัญญาเป็นหลักฐานไว้เสมอ
ประเภทของสัญญายืม
การยืม แบ่งคู่กรณีเป็นสองฝ่าย คือ “ผู้ให้ยืม” และ “ผู้ยืม” ซึ่งสัญญาการยืม เป็นการตกลงว่า จะยอมให้ยืมทรัพย์สินเพื่อใช้สอย และผู้ยืมจะต้องทำการคืน หรือส่งคืนทรัพย์สินเมื่อใช้สอยเสร็จแล้ว โดยสัญญาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สัญญายืมใช้คงรูป ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 650 คือสัญญาระหว่างผู้ให้ยืม และผู้ยืม มีการใช้สอยทรัพย์สินโดยได้เปล่า และผู้ยืมสัญญาว่าคืนทรัพย์สินหลังจากใช้สอยเสร็จแล้ว
2. สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง คือการที่ผู้ให้ยืมได้ทำการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้กับผู้ยืม โดยมีการระบุชนิด ปริมาณ และกำหนดการคืน และผู้ยืมจะต้องทำการคืนทรัพย์สินที่มีชนิด ปริมาณ ให้ตรงกับกำหนดการคืนแก่ผู้ให้ยืม ซึ่งการยืมเงิน ถือว่าเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
ข้อแนะนำการทำสัญญาการยืม
- ไม่ควรเซ็นเอกสารที่เป็นกระดาษเปล่า หรือเอกสารที่ไม่ระบุข้อมูลการยืมที่ชัดเจน
- ตรวจสอบรายละเอียด จำนวนเงินที่กู้ยืม และวันครบกำหนดชำระ รวมถึงกรณีที่ขอชำระเป็นงวด
- ต้องทำสัญญากู้ยืมอย่างน้อย 2 ฉบับ ให้ผู้ให้ยืม และผู้ยืมเก็บไว้อย่างละ 1 ฉบับ
- ควรมีพยานอย่างน้อย 2 คนขึ้นไป ทั้งจากฝั่งผู้ให้ยืม และผู้ยืม
- หลังจากชำระหนี้ ต้องขอเอกสารยืนยันการรับเงิน หรือให้ผู้ให้ยืมออกใบเสร็จรับเงิน
ยืมเงินไม่คืน สามารถฟ้องได้
กรณียืมเงินไม่เกิน 2,000 บาท ตามกฎหมาย ไม่ต้องทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน แต่เมื่อมีการผิดสัญญาการยืมเงิน แม้จะเป็นการยืมเงินด้วยวาจา สามารถดำเนินคดีฟ้องร้องตามกฎหมายได้
ส่วนกรณียืมเงินเกิน 2,000 บาท ต้องทำหนังสือสัญญากู้ยืม หรือมีหลักฐานการกู้ยืมเงิน ซึ่งหลักฐานการกู้ยืมจะอยู่ในรูปแบบใดก็ได้ แต่ต้องเป็นลายลักษณ์อักษร หรือแม้แต่การพิมพ์ข้อความยืมเงินในแชต หรือในแพลตฟอร์มต่าง ๆ จะต้องมีรายละเอียดชัดเจนว่ายืมเงินไปเท่าใด จะคืนเมื่อไร และหลักฐานอื่น ๆ ประกอบ
หากถูกยืมเงินแล้วไม่คืน สามารถฟ้องร้องได้ โดยถือเป็น “คดีแพ่ง” ทั้งนี้ ความผิดฐานยืมเงินแล้วไม่คืน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 กรณีที่มีการระบุว่าจะชำระคืนเป็นงวด จะมีอายุความ 5 ปี ส่วนกรณีที่ไม่ได้ระบุว่าจะคืนเป็นงวด หรือไม่มีข้อกำหนดการชำระนี้ จะมีอายุความ 10 ปี
ผู้ให้ยืม หรือผู้ให้กู้ สามารถคิดค่าดอกเบี้ยได้ แต่การคิดค่าดอกเบี้ยเกิน 15% ต่อปี ถือว่าผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่จ่ายค่าดอกเบี้ยเกินไปแล้ว ตามหลักกฎหมายจะหักลบกับเงินต้น และเงินที่จ่าย เหลือส่วนต่างเท่าไหร่ ก็ต้องชำระหนี้คืนเท่านั้น
การช่วยเหลือกันในยามเดือดร้อนขัดสน ถือเป็นการแสดงความมีน้ำใจ แต่ควรประเมินอยู่บนความเหมาะสม ในคราวเดียวกัน การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ควรแสดงความบริสุทธิ์ใจ และเห็นถึงคุณค่าของการช่วยเหลือเหล่านั้น ปัญหาต่าง ๆ จะไม่เกิดตามมา…