ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เมืองไทย จุดหมายคนยาก ปลายทางผู้อพยพ ?


Insight

20 มี.ค. 68

พีรชัย พสุทันท์

Logo Thai PBS
แชร์

เมืองไทย จุดหมายคนยาก ปลายทางผู้อพยพ ?

https://www.thaipbsbeta.com/now/content/2490

เมืองไทย จุดหมายคนยาก ปลายทางผู้อพยพ ?
บริการเสริมจาก Thai PBS AI


ปลายเดือน ก.พ. 68 ไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์ (Uyghurs) 40 คนกลับจีนหลังจากที่พวกเขาถูกควบคุมตัวในไทยมา 11 ปี ทำให้กระแสการปกป้องสิทธิของ “ผู้ลี้ภัย” ปะทุขึ้นอีกครั้งในสังคมไทยและดังไกลถึงประชาคมโลก

แม้จะ (ตั้งใจ) เข้ามาอาศัยชั่วคราวก่อนจะหนีภัยไปประเทศอื่น ชาวอุยกูร์ก็ถือเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่สะท้อนภาพลักษณ์ของไทยในฐานะ “จุดเปลี่ยนผ่าน (transit)” และตั้งแต่เปิดปี 2568 เป็นต้นมา สถานะ “จุดเปลี่ยนผ่าน” ของไทยก็อยู่ในด้านลบ สาเหตุหลักมาจากที่ธุรกิจสีเทาและดำเข้มได้ใช้เขตชายแดนไทยเป็นทางผ่านขนคนจากนานาประเทศ – ทั้งที่ถูกหลอกและเต็มใจ – ไปทำงานในขบวนการคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน จนต้องมีการปราบปราม ทั้งข่าวชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับจีนและภัยขบวนการอาชญากรรมนั้นทำให้บางประเทศออกมาเตือนพลเรือนของตัวเองให้ระมัดระวังตัวมากขึ้นขณะที่อยู่ในไทย

คลิปวิดีโอการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน เมื่อปลายเดือน ก.พ. 68 (ภาพจาก: ข่าวค่ำ 2 มี.ค. 68)

อีกด้านหนึ่ง เมืองไทยก็ยังเป็น “ดินแดนสวรรค์” หรือ “ดินแดนแห่งความหวัง” ของคนนับล้านจากทั่วโลก บ้างตั้งใจเข้ามาเมืองไทยเพื่อหลบหนีความขัดแย้งและสงครามในบ้านเกิดของตน บ้างตั้งใจเข้ามาหาเลี้ยงชีพและตั้งถิ่นฐานถาวร องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน หรือ IOM (International Organization for Migration) เคยประเมินไว้ว่า เมืองไทยมีผู้อพยพ (migrants) กว่า 5.2 ล้านคน นับถึงเดือน ก.ค. 67 

ด้วยบริบทที่กล่าวมาทั้งหมด จึงเป็นโอกาสอันเหมาะสมที่เราควรหันมามองสถานการณ์และสถานะของคนต่างด้าวในประเทศไทย ดินแดนที่เป็นทั้งจุดหมายของคนที่มีทางเลือกและปลายทางของผู้ที่เลือกอะไรไม่ได้ 

ฮการา ผู้อพยพชาวกะเหรี่ยงในต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน (ภาพจาก AFP 2 เม.ย. 64)

[กลุ่มผู้ลี้ภัย] อยากจะกลับไป (เมียนมาร์) ทุกคนอยากกลับหมดค่ะ ฉันเองก็อยากกลับไปเมืองของตัวเอง ฉันไม่อยากตายที่นี่ ฉันพูดมาตลอดค่ะว่า อยากกลับบ้านและตายที่เมืองของตัวเอง - ฮการา (Hkara) ผู้อพยพชาวกะเหรี่ยงในไทย กล่าวกับ AFP

สถานะของคนต่างด้าวที่ไม่ได้มีแค่ “ผู้อพยพ” 

ตามนิยามในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 “คนต่างด้าว” หมายถึง “บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทย” และทุกครั้งที่เราพูดถึงคนต่างด้าวที่เข้ามาในไทย ก็จะแบ่งประเภทคนต่างด้าวออกเป็น ผู้อพยพ (migrant) ที่หมายความกว้าง ๆ ถึงผู้โยกย้ายถิ่นฐานจากประเทศบ้านเกิด, ผู้ลี้ภัย (refugee) หรือผู้ที่หนีออกจากประเทศบ้านเกิดของตนเพราะกลัวว่าจะถูกประหัตประหารและได้รับความคุ้มครองโดยประเทศใหม่ และผู้ขอลี้ภัย (asylum seeker) หรือผู้ที่หนีจากประเทศบ้านเกิดแต่ยังไม่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัย 

เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้เข้าร่วมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951 (Convention Relating to the Status of Refugees 1951) และไม่ได้เข้าร่วมภาคยานุวัติพิธีสารเกี่ยวกับสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1967 (Protocol Relating to The Refugee Status 1967) ทำให้ประเทศไทย “ไม่มีการให้สถานะผู้ลี้ภัย” กับคนชาติอื่นที่หลบหนีภัยจากประเทศบ้านเกิดของตน อย่างไรก็ตาม ไทยได้กำหนดสถานะให้คนที่หนีภัยสงครามว่าเป็น “ผู้หนีภัยการสู้รบ (ผภร.)” ส่วนคนต่างด้าวที่เข้ามาอาศัยในศูนย์พักพิงของไทยเป็นระยะ ๆ นั้นถูกเรียกว่า “ผู้อาศัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราว” 

ผู้หลบลี้หนีภัยในจ.ตาก (ภาพจาก KNU Dooplaya District/AFP 31 พ.ค. 64)

ทั้งผู้หนีภัยการสู้รบและผู้อาศัยชั่วคราวนั้นอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงตามเขตชายแดนไทย ส่วนมากเป็นชาวเมียนมาและชาวกะเหรี่ยงที่ทยอยข้ามฝั่งมาไทยมาเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว พวกเขาไม่มีสิทธิพลเมืองหรือได้รับการรับรองตามกฎหมายไทย รวมถึงไม่สามารถออกนอกพื้นที่พักพิงได้หากไม่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัตินั้น รัฐไทยดูแล รองรับ และตรวจตรากลุ่มผู้หนีภัยฯ และผู้อาศัยชั่วคราวผ่านสำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพ (สศอ.) กระทรวงมหาดไทย สศอ. นั้นร่วมมือกับองค์การข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ในด้านการจัดทำทะเบียนผู้หนีภัยฯ และอนุญาตให้องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรต่าง ๆ (NGOs) เข้ามาช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพิ่มเติมแก่ผู้อพยพในศูนย์พักพิงฯ ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. 2562 ได้เพิ่มสถานะ “ผู้ได้รับการคุ้มครอง” เข้ามาอีก 1 สถานะ โดย “ผู้ที่ได้รับการคุ้มครอง” หมายถึง คนต่างด้าวในไทยที่ได้รับการตรวจสอบแล้วว่า มีเหตุอันเชื่อได้ว่าจะได้รับอันตรายจากการถูกประหัตประหารในประเทศภูมิลำเนา ส่วนชาวต่างชาติ ทั้งนี้ จะไม่มีการส่งตัวคนกลุ่มนี้กลับประเทศบ้านเกิด เว้นแต่พวกเขาจะสมัครใจกลับประเทศภูมิลำเนาเองหรือมีเหตุที่จะกระทบความมั่นคงของราชอาณาจักรไทย

สถานกักตัวคนต่างด้าวที่มีการกล่าวว่า เป็นสถานที่กักตัวชาวอุยกูร์ (ภาพจาก AFP 22 ม.ค. 68)

ส่วนคนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมายหรือไม่ได้รับอนุญาตให้พำนักในไทยนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีและถูกกักตัวในสถานกักตัวคนต่างด้าว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งมีทั้งสิ้น 16 แห่งทั่วประเทศ แม้ทางการไทยจะกล่าวว่า คนต่างด้าวที่ถูกกักตัวได้รับการดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชน แต่ IOM ชี้ว่า กฎหมายไทยขาดกลไกป้องกันการกักตัวที่ไม่เป็นธรรม ปัญหาหนึ่งคือ พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 อนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อยืดเวลาการกักตัวคนต่างด้าวผิดกฎหมายได้ “ในกรณีที่มีเหตุจําเป็น” และชนกลุ่มน้อยที่เข้าเมืองผิดกฎหมายนั้นถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกกักตัวอย่างไม่มีกำหนด 

จริงอยู่ที่ว่า คนต่างด้าวยังอพยพเข้ามาในไทยอย่างไม่ขาดสาย แต่เมืองไทยอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกในอุดมคติอีกต่อไปสำหรับผู้หลบลี้หนีภัยทางการเมือง The Active ได้รวบรวมข้อมูลผู้หลบลี้หนีภัยที่ถูกส่งตัวกลับประเทศภูมิลำเนานับตั้งแต่ปี 2558-เดือน ก.พ. 68 พบว่าหลายคนเป็นนักเคลื่อนไหวหรือนักกิจกรรมที่ต่อต้านรัฐบาลของตน เช่น สัม สุขา, เวือน เวียสนา, เวือง สมนาง และ ฐาวรี ลันห์ นักกิจกรรมชาวกัมพูชา รวมถึง ตีฮา, เท็ต เน วิน และซอ เพียว เล กลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา

อินโฟกราฟิกจาก The Active เกี่ยวกับผู้หลบลี้หนีภัยในไทยที่ถูกส่งตัวกลับในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

สถานการณ์เกี่ยวกับชาวอุยกูร์ในไทยก็สะท้อนได้เช่นกันว่า ไทยอาจไม่ใช่ที่พึ่งพิงที่ปลอดภัยอีกต่อไป รัฐไทยไม่เคยรับรองสถานะของชาวอุยกูร์ในไทยและควบคุมตัวชาวอุยกูร์บางส่วนในสถานกักตัวคนต่างด้าวนานกว่า 11 ปี “เพื่อน ๆ ของผมตกอยู่ในสภาพหมดหวัง พวกเขาใช้ชีวิตด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะได้รับการปล่อยตัวและได้ย้ายไปอยู่ในประเทศเสรีสักวันหนึ่ง และพวกเขายังกลัวว่า หากเกิดถูกส่งตัวกลับจีน ก็อาจจะทุกข์ทรมานจากการกดขี่บีบบังคับ” อับดุลเลาะห์ ซามี (Abdullah Sami) ชาวอุยกูร์ที่ย้ายไปประเทศที่ 3 สำเร็จโดยใช้ไทยเป็นทางผ่าน บอกกับสำนักข่าว AFP เมื่อเดือน ต.ค. 65

อับดุลเลาะห์ ซามี (ภาพจาก AFP 28 ต.ค. 65)

ความกังวลของซามีกลายเป็นจริง เมื่อไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีนเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา จนทำให้ประชาคมโลกประณามและกดดันรัฐบาลไทย เช่น สภายุโรปอาจใช้การค้าเสรี (FTA) กดดันให้ไทยปฏิรูปกฎหมายสิทธิมนุษยชน และการส่งชาวอุยกูร์กลับจีนครั้งนี้ก็สะท้อนถึงภาพลักษณ์ของไทยที่เปลี่ยนไปในสายตาผู้หลบลี้หนีภัย “ในอดีตไทยเป็นเหมือนพื้นที่ที่สามารถหนีร้อนมาพึ่งเย็นได้ เป็นพื้นที่สามารถเป็นทางผ่านไปประเทศที่ 3 ได้ [แต่] ยุคสมัยดังกล่าวได้ผ่านพ้นไปแล้ว” สุณัย ผาสุข ที่ปรึกษา Human Rights Watch ประเทศไทย ให้ความเห็นแก่ The Active 

จากทั้งหมดที่กล่าวมา เรายังคงต้องติดตามการจัดการคนต่างด้าวผู้หลบลี้หนีภัยในไทยกันต่อไปโดยเฉพาะในช่วง 3 ปีนี้ เนื่องจากไทยเป็นในฐานะสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษชนสหประชาชาติ (UNHRC) ประจำวาระปี 2568-2570

“สงคราม” ปัจจัยเร่งคนต่างด้าว (อพยพ) เข้าไทย

แม้ไทยจะมีปัญหาเกี่ยวกับการจัดการผู้อพยพและผู้หลบลี้หนีภัยในหลายมิติ แต่ IOM ได้เน้นย้ำไว้ว่า “ราชอาณาจักรไทยยังคงมีบทบาทสำคัญด้านการโยกย้ายถิ่นฐานในภูมิภาค” ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา จำนวนคนต่างด้าวในไทยนั้นเพิ่มขึ้น และปัจจัยเบื้องหลังข้อหนึ่งก็คือ “สงครามทั้งนอกและในภูมิภาคอาเซียน” บทความนี้จะขอกล่าวถึง 3 สงครามสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์คนต่างด้าวในไทยอย่างเห็นได้ชัด 

ในปี 2565 มีชาวอิสราเอลที่ได้รับอนุญาตทำงานในไทย 515 คน และมีนักท่องเที่ยวอิสราเอล 145,490 คน แต่หลังจากที่สงครามกาซา (Gaza War) ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 66 มีชาวอิสราเอลได้รับอนุญาตทำงานในไทยเพิ่มเป็น 1,057 คน และมีนักท่องเที่ยวอิสราเอลถึง 281,803 คนที่เข้ามา แม้จะไม่พบข้อมูลแน่ชัดว่ามีชาวอิสราเอลที่ได้รับอนุญาตให้พำนักระยะยาวในไทย – ไม่ว่าจะมีงานทำหรือไม่ก็ตาม – เป็นจำนวนเท่าใด แต่ความกังวลเกี่ยวกับชาวอิสราเอลในอ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ก็อาจพอสะท้อนภาพการปรากฏตัวของคนกลุ่มนี้ที่เพิ่มมากขึ้นในสังคมไทย ณ ปัจจุบัน

นักท่องเที่ยวต่างชาติในจ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งถูกคาดว่ามีชาวอิสราเอลเข้าไปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก (ภาพจาก: วันใหม่ ไทยพีบีเอส 26 ก.พ. 68)

ชาวรัสเซียถือเป็นคนอีกชาติหนึ่งที่มาท่องเที่ยวหรือตั้งหลักปักฐานเป็นจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะในพื้นที่จ.ภูเก็ต สะท้อนได้จากการเปิดกงสุลใหญ่สหพันธรัฐรัสเซียในภูเก็ตเมื่อเดือน ก.ค. 66 แต่เมื่อสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน (Russo-Ukrainian War) ปะทุลุกลามขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 65 มีชาวรัสเซียหมายมั่นทำงานหรือประกอบธุรกิจในไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากข้อมูลของกรมจัดหางานในเดือน ม.ค. 68 มีชาวรัสเซียที่ได้รับอนุญาตทำงานในไทยทั้งสิ้น 7,096 คน เพิ่มขึ้นประมาณ 3.2 เท่าจากตัวเลขในเดือน ม.ค. 65 หรือราว 1 เดือนก่อนที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนจะเกิดขึ้น

ชาวรัสเซียยังถือครองอสังหาริมทรัพย์มากติด 3 อันดับแรกจากชาวต่างชาติในไทยทั้งหมด ที่น่าสังเกตต่อก็คือ ชาวรัสเซียที่เข้ามาไทยหลายคนเลือกที่จะนำเงินมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ซึ่งคุ้มค่าที่สุด “[คนรัสเซีย] มีการร่วมทุนกับคนไทยหรือเป็นเจ้าของโดยตรงเอง สร้างพูลวิลลาขาย ส่วนใหญ่ลูกค้าก็เป็นคนรัสเซียนี่แหละครับ [อีกทั้ง] กระแสของคนรัสเซียที่มาอยู่เมืองไทยจะเปลี่ยนมือ [อสังหาริมทรัพย์] ตลอด เพราะฉะนั้นการลงทุนอสังหาฯ จึงคุ้มค่า” อดุลย์ กำไลทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านรัสเซีย ให้ความเห็นในรายการทันโลก กับ Thai PBS

ภาพนักท่องเที่ยวในจ.ภูเก็ต จังหวัดที่มีชาวรัสเซียจำนวนไม่น้อยเข้าไปลงทุน (ภาพจาก AFP 20 มี.ค. 63)

เนื่องจากธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์เป็นอาชีพสงวนเพื่อคนไทย ชาวรัสเซีย – รวมถึงชาวต่างประเทศอีกหลายสัญชาติ – จึงใช้ “นอมินีคนไทย” เปิดบริษัทให้แทน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) รายงานว่า มีชาวรัสเซียจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในจ.ภูเก็ตราว 1,603 บริษัทในช่วงปี 2566-เดือน มี.ค. 67 ขณะที่ตัวเลขจากปี 2559-2565 นั้นอยู่ที่ 30 บริษัทเท่านั้น และการตรวจค้นบริษัทที่เข้าค่ายนอมินีของคนรัสเซียจำนวน 4 แห่ง พบของกลางทั้งเงินสดและอสังหาริมทรัพย์มูลค่ารวมกันกว่า 1,000 ล้านบาท แต่นี่ถือเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นที่คนต่างด้าวบางกลุ่มลักลอบดำเนินธุรกิจและสร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้ สงครามที่นำคนต่างด้าวเข้ามาในไทยมากที่สุดคือ สงครามกลางเมืองในเมียนมา (Myanmar civil war) หลังการรัฐประหารของนายพล มิน อ่อง หล่าย เมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งทำให้เมียนมากลายเป็นประเทศที่ขัดแย้งรุนแรงและแตกแยกมากที่สุดของโลกตามการประเมินขององค์กร ACLED ผลลัพธ์หนึ่งจากสงครามครั้งนี้คือ “การโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ (irregular migration)” หรือชาวเมียนมาที่เข้าเมืองผิดกฎหมายในไทยนั่นเอง เช่น กลุ่มผู้หนีภัยทางการเมืองชาวเมียนมาราว 20,000 คนในไทยหลังปี 2564 คนส่วนมากในกลุ่มนี้ไม่มีสถานะทางกฎหมายหรือมีแต่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง จนกลายเป็นคน “ตกขอบ” ซึ่งเสี่ยงที่จะถูกตามล่าจากทางการเมียนมาและ/หรือถูกแสวงหาผลประโยชน์จากคนไทยมากกว่าผู้อพยพชาวเมียนมากลุ่มอื่น ๆ

อีกด้านหนึ่ง เมื่อเดือน พ.ค. 67 กรมการปกครองรายงานว่า มีผู้หนีภัยการสู้รบและผู้อาศัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราวชาวเมียนมาจำนวน 77,606 คนในพื้นที่พักพิงฯ 9 แห่ง นอกจากคนกลุ่มนี้จะไม่มีสถานะทางกฎหมายและไม่มีสิทธิทำงาน พวกเขาก็ไม่มีโอกาสเรียนได้หนังสืออย่างเหมาะสมเนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการไทยไม่มีอำนาจจัดการศึกษาให้คนในแคมป์ผู้หนีภัย ล่าสุด พวกเขาเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้ยากลำบากขึ้นหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัดงบประมาณช่วยเหลือ USAID ทำให้โรงพยาบาลต่าง ๆ ตามแนวชายแดน เช่น โรงพยาบาลท่าสองยาง จ.ตาก “ต้องรับหน้าที่ดูแลทั้งหมดโดยไม่มีทรัพยากรเพียงพอ” ตามคำสัมภาษณ์ของนพ. ธวัชชัย ยิ่งทวีศักดิ์ ที่ให้ไว้แก่ The Active เมื่อปลายเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา

แรงงานชาวเมียนมาในจ.สมุทรสาคร (ภาพจาก AFP 20 ก.ย. 61)

ส่วนคนเมียนมาที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในไทยอย่างถูกกฎหมายและนั้นก็ใช่ว่าจะได้รับหลักประกันในชีวิตอย่างที่ควร IOM ระบุปัญหาของระบบประกันสังคมไทยที่อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวประกันตนตามมาตรา 33 เท่านั้น ส่วนแรงงานต่างด้าวที่ตกงาน รับจ้างตามฤดูกาลในภาคเกษตร-ประมง หรือรับจ้างทั่วไปนั้นไม่มีสิทธิประกันตามมาตรา 39 และ 40 เลย ในปี 2566 มีแรงงานเมียนเข้าระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 เพียงร้อยละ 56.5 หรือราว 975,610 คน ยิ่งไปกว่านั้น มีแรงงานผู้หญิงชาวเมียนมาประกันตนเพียงร้อยละ 41.2 เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขผู้ประกันตนชาวกัมพูชาและลาวในไทย

ทั้งหมดนี้คือสถานการณ์เพียงส่วนหนึ่งเกี่ยวกับคนต่างด้าวในไทย ไม่ว่าผู้อพยพจะมาจากชนชาติใด ทุกคนก็ควรได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม – โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่หลบลี้หนีภัยเข้ามาเพราะกลัวการประหัตประหารจากประเทศบ้านเกิด แม้ปัญหาหลายอย่างนั้นใหญ่เกินกว่าที่ประชาชนอย่างเรา ๆ จะแก้ได้ แต่เราก็สามารถช่วยเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียม และท้ายที่สุดแล้ว “รัฐไทย” ต้องมีมาตรฐานในการรับมือกับคนต่างด้าวทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย เพื่อให้ประเทศได้เป็น “จุดหมายปลายทางสำหรับคนทุกคน” อย่างแท้จริง

อ่านเนื้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจากเครือ Thai PBS

อ้างอิง

ติดตามบทความและเรื่องราวทันทุกกระแสที่ Thai PBS NOW

ภาพผู้หลบลี้หนีภัยชาวเมียนมาและทารกในไทย หลังเกิดรัฐประหารในเมียนมาเมื่อปี 63 (ภาพจาก AFP 2 เม.ย. 63)

แท็กที่เกี่ยวข้อง

สิทธิมนุษยชนผู้อพยพผู้ลี้ภัยคนต่างด้าวประเทศไทย
พีรชัย พสุทันท์
ผู้เขียน: พีรชัย พสุทันท์

ศิษย์เก่าอักษร จุฬาฯ และโปรแกรมปริญญาโททุน EU ด้านวรรณกรรมยุโรปในฝรั่งเศสและกรีซ ผู้ชอบพาตัวเองไป (หลง) อยู่ในกระแสพหุวัฒนธรรม และเปิดเพลง ABBA ประโลมชีวิตทุกครั้งที่เขียนงาน I ติดตามผลงานส่วนตัวที่ porrorchor.com

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด