ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"ดีแทค" เรียกประชุมมาตรการเยียวยาลูกค้า เหตุสัญญาณล่ม

เศรษฐกิจ
29 ส.ค. 55
07:04
19
Logo Thai PBS
"ดีแทค" เรียกประชุมมาตรการเยียวยาลูกค้า เหตุสัญญาณล่ม

จากปัญหาสัญญาณเครือข่าย "ดีแทค" ล่มเป็นครั้งที่ 5 ทำให้ตั้งแต่เช้าที่ผ่านมา ผู้บริหารบริษัทดีแทค เรียกประชุมเพื่อสรุปการพิจารณาเยียวยาผลกระทบให้แก่ลูกค้า ที่ได้รับผลกระทบประมาณ 130 ล้านเลขหมาย

ผู้บริโภคหลายคน เขียนกระดานข้อความที่หน้าเพจ "ดีแทค" บนเฟสบุ๊ค เพื่อยืนยันถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสัญญาณล่มเมื่อวานนี้(28 ส.ค.) และไม่สามารถติดต่อไปยังศูนย์บริการได้ โดยเหตุการณ์สัญญาณเครือข่ายดีแทคล่ม เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าของเมื่อวานนี้(28 ส.ค.) และต่อเนื่องตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล

สำหรับสถานการณ์ล่าสุด ในวันนี้(29 ส.ค.) ทางผู้บริหารดีแทค ได้ประชุมกันเพื่อสรุปมาตรการเยียวยาผู้บริโภค โดยยังไม่มีแถลงการณ์ยืนยันชัดเจน แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีการโพสต์ข้อความโปรโมชั่นต่างๆ ผ่านทางทางโซเชียลมีเดีย ทั้งทางทวิตเตอร์และเฟสบุ๊ค ว่าดีแทคได้สรุปโปรโมชั่นที่จะเยียวยาให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้ว

แต่จากการสอบถามไปทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ของดีแทค ไม่ยืนยันว่า โปรโมชั่นที่ออกมาตามสื่อต่างๆ เหล่านี้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่ เนื่องจากผู้บริหารยังอยู่ระหว่างประชุม ซึ่งหากแล้วเสร็จทางดีแทคจะออกคำชี้แจงเป็นทางการอีกครั้ง

สำหรับปัญหาสัญญาณล่มดังกล่าว นับเป็นครั้งที่ 5 ที่ไม่ได้แจ้งเตือนให้ผู้บริโภครับทราบล่วงหน้า ซึ่งก่อนหน้านี้ ดีแทค ประสบปัญหาเครือข่ายล่มรวม 4 ครั้ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงระบบและกระทบต่อฐานข้อมูลลูกค้า 2 ครั้ง ในปี 2554 และ 2555 ส่วนครั้งที่ 3 ดีแทค ระบุว่า เกิดจากเหตุสุดวิสัย เนื่องจากรถชนเสาเคบิลภาคใต้ และครั้งที่ 4 ก็เกิดปัญหาสายเคเบิลขาด

อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้(28 ส.ค.) หลังพบระบบสัญญาณล่มทาง กสทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับด้านกิจการโทรคมนาคม ได้เรียกดีแทคพบด่วน แต่ก็ปรากฎว่ามีแต่ฝ่ายเทคนิคเดินทางมาพบ โดยไม่มีผู้บริหารร่วมด้วย ซึ่ง กสทช. มีมติปรับเงินดีแทคเบื้องต้น วันละ 500,000 บาท และอาจพิจารณาปรับเพิ่มมากขึ้นในหลัก 10 ล้านบาท จากความเสียหายที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือทั้งหมด 130 ล้านเลขหมาย ขณะที่ดีแทคระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าว กระทบลูกค้าเพียงร้อยละ 20 ของจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการรวม 23.6 ล้านรายเท่านั้น
 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง