กระทรวงคมนาคมเตรียมงดรับจดทะเบียนรถจดประกอบ
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าในวันที่ 7 มิถุนายน จะมีการลงนามในร่างประกาศกฎกระทรวง งดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้วนำเข้ามาจากต่างประเทศ ภายหลังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ส่งร่างดังกล่าวกลับมายังกระทรวงคมนาคมแล้ว จากนั้นจะส่งกลับไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป
นายสมชัย ศิริวัฒนโชค อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า เมื่อประกาศกฎกระทรวงฯ มีผลบังคับใช้ ผู้ที่นำเข้าชิ้นส่วน เพื่อขอยื่นเป็นรถจดประกอบจะต้องเร่งดำเนินการให้ถูกต้องภายใน1 ปี หากพ้นจากนี้ จะไม่สามารถจดทะเบียนรถจดประกอบได้ พร้อมยืนยันว่า ที่ผ่านมากรมการขนส่งทางบก มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดในการรับจดทะเบียนรถทุกประเภท ขณะเดียวกันได้สั่งการให้ขนส่งจังหวัดทุกแห่งปฏิบัติตามขั้นตอนการจดทะเบียน การตรวจสภาพรถ และเอกสารหลักฐานอย่างเข้มงวด
สำหรับร่างประกาศดังกล่าว จะมีผลบังคับใช้กับรถ 4 ประเภท คือ รถยนต์นั่งขนาดไม่เกิน 7 ที่นั่ง, รถยนต์นั่งเกิน 7 ที่นั่ง (รถตู้ ), รถบรรทุกส่วนบุคคล (รถปิ๊กอัพ), และรถจักรยานยนต์ โดยรถทั้ง 4 ประเภท จะต้องนำมายื่นขอจดทะเบียนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับจากวันที่ประกาศกฎกระทรวงฯมีผลบังคับใช้แล้ว แต่หากเป็นกรณีที่เป็นรถประกอบจากชิ้นส่วนใช้แล้ว มีการเสียภาษีศุลกากร และภาษีสรรพสามิตแล้ว อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ให้ดำเนินการยื่นขอจดทะเบียนจากกรมการขนส่งทางบกให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับจากวันที่ประกาศกฎกระทรวงมีผลบังคับใช้
ส่วนการนำอุปกรณ์รถเก่าที่นำเข้าเป็นชิ้นส่วนจดประกอบนั้น กระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศ ห้ามนำเข้าตัวถังรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เข้าในราชอาณาจักร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2555 ซึ่งส่วนที่นำเข้ามาก่อนหน้านี้จะต้องเร่งดำเนินการเพื่อยื่นขอจดทะเบียนให้เรียบร้อยตามกรอบเวลาที่กำหนด
ส่วนผลการประชุมร่วม 6 หน่วยงาน ในการหามาตรการดำเนินการกับรถยนต์จดประกอบที่ผิดกฎหมาย นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติให้ตรวจสอบรถที่นำเข้ามาในประเทศไทยเพื่อนำมาจดประกอบตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 ถึง 1 พฤษภาคม 2556 โดยจะทยอยออกหมายเรียกผู้ครอบครองรถยนต์หรูที่มีมูลค่าตามท้องตลาดตั้งแต่ 4 ล้านบาทขึ้นไป ให้มาตรวจสอบทางกายภาพว่า มีร่องรอยการถอดประกอบจริงหรือไม่ โดยพบว่า มีรถยนต์หรูที่จดทะเบียนแล้ว 6,862 คัน ส่วนรถยนต์หรูที่รอจดทะเบียนมีอีกกว่า 3,000 คัน เบื้องต้น ดีเอสไอเชื่อว่า รถยนต์หรูที่นำมาจดประกอบนั้น มีการสำแดงเอกสารเป็นเท็จ