วันนี้ (1 ส.ค.2559) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เตรียมออกหมายเรียกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการครอบครองในคดีรถยนต์โบราณมารับทราบข้อกล่าวหา นอกเหนือจากพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ซึ่งเป็นผู้นำเอกสารจดประกอบไปให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ลงนาม ส่วนในวันนี้ (11 มี.ค.) ทนายความของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์นัดสื่อมวลชนแถลงข่าว เพื่อยืนยันว่าสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็นเพียงผู้รับบริจาครถเท่านั้น ส่วนการเสียภาษีเป็นเรื่องที่ผู้อื่นดำเนินการ
นายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง วรปุญโญ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เปิดเผยว่า วันนี้ (1ส.ค.) เวลา 11.00 น. จะแถลงเพื่อยืนยันว่าสมเด็จช่วงไม่เกี่ยวข้องกับความผิดในคดีครอบครองรถหรู โดยเฉพาะในประเด็นที่กรมสอบสวนคดีพิเศษระบุว่าสมเด็จช่วงเข้าข่ายความผิดใน 2 ข้อหา คือมีส่วนรู้เห็นและร่วมกันครอบครองสินค้าที่รู้ว่าไม่เสียภาษี และข้อหาร่วมกันแจ้งข้อความเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งตามกฎหมายสรรพสามิต กรณีชำระภาษีไม่ถูกต้องครบถ้วนจะมีแต่โทษปรับเท่านั้น ไม่ได้มีโทษจำคุก ซึ่งจนขณะนี้ดีเอสไอยังไม่ได้มีหนังสือแจ้งมายังวัดปากน้ำภาษีเจริญ
สำหรับกรณีนี้ พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้สรุปผลประชุมร่วมกับพนักงานอัยการในคดีตรวจสอบรถยนต์โบราณ ยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ที่อยู่ในครอบครองของสมเด็จช่วง พบว่าผู้ครอบครองรถยนต์เสียภาษีไม่ครบถ้วนจะมีความผิดตามมาตรา 161 (1) พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527
ด้านนายประดับ โพธิกาญจนวัตร รองโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้ ดีเอสไอทำหนังสือถึง พศ.ขอพบผู้แทนมหาเถรสมาคม เพื่อขอรายละเอียดเกี่ยวกับพระธรรมวินัย เช่น เรื่ององค์ประกอบที่จะทำให้พระสงฆ์อาบัติปาราชิก เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการพิจารณาคดีความให้เกิดความชัดเจน และเป็นธรรมที่สุด โดยคาดว่าจะเสนอที่ประชุม มส.ในวันที่ 19 สิงหาคมนี้
มีรายงานว่าในสัปดาห์นี้ พนักงานสอบสวนคดีรถหรูจะออกหมายเรียกหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ มาสอบปากคำกรณีเป็นผู้นำเอกสารการยื่นจดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบกมาให้สมเด็จช่วงเซ็น เพื่อดูว่าหลวงพี่แป๊ะมีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดหรือไม่ รวมทั้งจะออกหมายเรียกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการครอบครองรถมารับทราบข้อกล่าวหา ก่อนพิจารณาตามความผิด พ.ร.บ.สรรพสามิต มาตรา 161(1) มีโทษปรับตั้งแต่ 2-10 เท่า ของค่าภาษีที่จะต้องเสีย