ปาร์ค กึน-เฮ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ออกคำสั่งให้หน่วยงานต่างๆ ในเกาหลีใต้ให้ยังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของนายทรัมพ์ ขณะที่นายมัลคอล์ม เทิร์นบูลล์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียระบุว่า ออสเตรเลียจะยังคงทำงานใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของนายทรัมพ์ต่อไปเช่นเดิม
ส่วนนายบินาลี ยิลดิริม นายกรัฐมนตรีตุรกี แสดงความยินดีกับนายทรัมพ์ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประธานาธิบดีคนใหม่ส่งตัวเฟตตูลาห์ กูเลน นักสอนศาสนามุสลิมที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อรัฐประหารในตุรกี ซึ่งขณะนี้พำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกา กลับตุรกีโดยเร็วที่สุด
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน แสดงความยินดีต่อนายทรัมพ์ พร้อมกับแสดงความคาดหวังว่าจีนและสหรัฐฯ จะร่วมมือกันพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเพื่อประโยชน์ต่อประชาคมโลก
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระบุในสารแสดงความยินดีว่า จีนซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในโลกและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่ทรงอิทธิพลที่สุด จึงย่อมจะมีบทบาทสำคัญในการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพของโลก
"ข้าพเจ้าให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เป็นอย่างยิ่ง และหวังว่าจะได้ร่วมมือกับท่านว่าที่ประธานาธิบดีในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในทุกทาง ทั้งในระดับทวิภาคี ภูมิภาคและในเวทีระหว่างประเทศ บนพื้นฐานของหลักการที่ปราศจากความขัดแย้ง ปราศจากการเผชิญหน้า การเคารพซึ่งกันและกัน และจัดการความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ให้คืบหน้าไปอีกระดับหนึ่ง เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ"
ด้านกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้มีข้อความแสดงความยินดีต่อสหรัฐฯ ที่การจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จสิ้นด้วยความเรียบร้อย
"ประเทศไทยแสดงความยินดีต่อสหรัฐอเมริกาในการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 8 พ.ย.2559 โดยประชาชนอเมริกันกว่า 120 ล้านคน ได้เลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 เป็นที่เรียบร้อย ไทยและสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ที่ดีมายาวนานกว่า 183 ปี โดยสหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตรที่สำคัญของไทยและมีความร่วมมือทวิภาคีในหลากหลายสาขา ไทยยินดีส่งเสริมและสร้างสรรค์ผลประโยชน์ร่วมกันกับสหรัฐอเมริกาให้เพิ่มพูนขึ้นต่อไป ทั้งในระดับทวิภาคี ภูมิภาค และในเวทีระหว่างประเทศ ไทยพร้อมจะร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาในการเดินหน้าขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันให้ก้าวหน้าต่อไป" กระทรวงการต่างประเทศระบุในข้อความเผยแพร่บนเว็บไซต์
ขณะที่สื่อหลายสำนักเสนอว่า ประเด็นที่น่าจับตามองหลังจากนี้ คือ เรื่องการค้าเสรี ซึ่งนายทรัมพ์เคยขู่ว่าจะยกเลิกข้อตกลงการค้าเสรีหลายฉบับ ซึ่งรวมถึงความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) และความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (TPP)
ข้อตกลงปารีส ซึ่งเป็นข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมที่รัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ร่วมลงนามเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากก่อนหน้านี้ นายทรัมพ์ประกาศจะถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าว
สำหรับนโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพ นายทรัมพ์เคยประกาศกร้าวในช่วงต้นของการรณรงค์หาเสียงว่า จะสร้างกำแพงบริเวณพรมแดนที่ติดกับเม็กซิโกและส่งตัวผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารประมาณ 11 ล้านคนออกนอกประเทศ ก็กลับมีท่าทีที่อ่อนลง เปลี่ยนเป็นการส่งตัวอาชญากรหลายล้านคนที่อาศัยในสหรัฐอเมริกากลับประเทศ
นอกจากนี้ ทรัมพ์ยังได้ระบุว่า การห้ามชาวมุสลิมเดินทางเข้าประเทศไม่ใช่นโยบาย แต่ถือเป็นเพียงแค่คำแนะนำเท่านั้น โดยเจ้าหน้าที่อเมริกันจะทำการตรวจสอบประวัติของผู้อพยพอย่างเข้มข้น
ด้านประเด็นความสัมพันธ์กับองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ซึ่งว่าที่ผู้นำสหรัฐอเมริกาคนนี้เคยวิพากษ์วิจารณ์ NATO อย่างหนักว่า เป็นองค์การที่ล้าสมัยและสมาชิกของ NATO ก็เป็นพันธมิตรที่แสวงหาประโยชน์จากสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งประกาศว่า สหรัฐอเมริกาจะไม่ให้การปกป้องประเทศในยุโรปและเอเชียอีกต่อไป หากไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม
ขณะที่นายทรัมพ์เชื่อว่า ตนจะสามารถลดความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับรัสเซียได้ พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ว่าเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง และปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์อันดีกับนายปูติน ซึ่งขัดแย้งกับความคิดเห็นของหัวหน้าบรรณาธิการสถานีวิทยุ
Echo of Moscow ของรัสเซีย ที่แสดงความกังวลว่า การที่นายทรัมพ์ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศจะทำให้ความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกากับรัสเซียมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากนายทรัมพ์เป็นผู้ที่คาดเดาไม่ได้ และนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียก็ไม่ชอบสิ่งที่คาดเดาไม่ได้
ขณะที่นักวิเคราะห์ของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นของสหรัฐอเมริการะบุว่า นางคลินตันไม่สามารถรักษาฐานเสียงของนายโอบามา ทำให้ต้องตกเป็นผู้พ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ โดยชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ชาวอเมริกันเชื้อสายละตินและผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนที่มีอายุน้อย ที่เดินทางมาลงคะแนนเสียงให้กับนางคลินตันมีไม่มากพอ
นอกจากนี้ นางคลินตันยังไม่สามารถเอาชนะในรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครตอย่างรัฐวิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย และมีคะแนนตามหลังนายทรัมพ์ในรัฐมิชิแกน