วันนี้ (25 พ.ย. 2559) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชาสู่การปฏิบัติอย่างยั่งยืน" ว่า ขอให้พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน ทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา บนแผ่นดินไทย ยึดมั่นในสิ่งที่ได้เปล่งสัจวาจาถวายสัตย์ปฏิญาณเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ว่าจะซื่อตรง จงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า ทุกพระองค์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ จะปฏิบัติหน้าที่พลเมืองที่ดี ด้วยการเคารพกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมถึงการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ร่วมพัฒนาและปฏิรูปประเทศ สนับสนุนให้มีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยปกครองประเทศ ฯลฯ ในกิจกรรรมแห่งชาติ “รวมพลังแห่งความภักดี” ที่ประชาชนคนไทยทุกคนร่วมกันจัดขึ้นในวันที่ 22 พ.ย. ที่ผ่านมา
“ขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่เข้าร่วมในกิจกรรมดังกล่าว และขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ กรมประชาสัมพันธ์ สถานีวิทยุโทรทัศน์ และสื่อมวลชนทุกแขนง ที่ช่วยกันนำภาพพลังแห่งความจงรักภักดี ทั้งจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศและทั่วทุกมุมโลก ปรากฏสู่สายตาชาวไทยและชาวโลกได้อย่างงดงามและมีความหมาย และผมเชื่อมั่นว่าทุกคนนั้นสามารถแสดงออกถึงความจงรักภักดีแด่สถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างไร้ขีดจำกัดในด้านเวลาและสถานที่” นายกฯ ระบุ
ปรับใช้ศาสตร์พระราชาอย่างเข้าใจ กำจัดทุจริตสังคมไทยได้ยั่งยืน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ขอให้ประชาชนพร้อมใจนำศาสตร์พระราชา ไปสู่การปฏิบัติอย่างเข้าใจ ซึ่งศาสตร์พระราชานั้นจะช่วยเอาชนะกิเลสที่เป็นสนิมในจิตใจ และเอาชนะการทุจริตที่เป็นสนิมในสังคมไทยได้อย่างยั่งยืน
“สำหรับข้าราชการบางส่วนที่ยังหลงผิด ใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ เรียกรับผลประโยชน์มีอิทธิพลเหล่านั้น ที่ยังจมอยู่ในกองกิเลส เช่น กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองในหัวเมืองท่องเที่ยว ในหาดใหญ่ พัทยา หัวหิน และพื้นที่เศรษฐกิจอื่นๆ ทั่วประเทศ คิดว่าทุกครั้งที่ได้รับรายงานแม้เป็นเพียงส่วนน้อยก็รู้สึกไม่สบายใจ ฉะนั้น เราก็ต้องช่วยกันรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ผู้ที่กระทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ ขอให้ปรับปรุงตัวและยึดมั่นในสัจวาจาที่ตนได้ถวายคำสัตย์ปฏิญาณ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ด้วย” นายกฯ ระบุ
วอนประชาชนทุกคนร่วมมือ 10 เรื่อง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปด้วยกัน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลได้น้อมนำศาสตร์พระราชามาประยุกต์ใช้ในงานบริหารแผ่นดิน และเพื่อให้เกิดผลจากการงานอย่างเป็นรูปธรรม กลายเป็นเครื่องประกันความสุขให้กับประชาชนในประเทศได้ จึงขอความร่วมมือจากทุกคนในการร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจใน 10 เรื่อง เพื่อขับเคลื่อนงานไปด้วยกัน
เรื่องที่ 1 ขอให้คนไทยปรับวิธีคิดหรือเปลี่ยนกระบวนการคิดใหม่ ให้เกิดความเชื่อมโยงแบบมายด์เซ็ต เพราะนับจากนี้ การที่จะทำให้สังคมเราอยู่ได้ ประเทศไทยอยู่ได้ ต้องเชื่อมโยงและสร้างเครือข่ายถึงจะเดินหน้าต่อไปได้ เช่น สร้างกลไกประชารัฐ การรวมกลุ่มสหกรณ์ และตลาดชุมชน
เรื่องที่ 2 ขอให้ประชาชนพิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง ถึงการปรับเปลี่ยนปฏิรูปที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ย่อมส่งผลกระทบมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ฉะนั้น ทุกคนต้องปรับตัวระหว่างเดินทาง ต้องอดทน เพื่อผลสัมฤทธิ์ปลายทางที่จะช่วยให้ประเทศชาติดีขึ้น
เรื่องที่ 3 ให้เข้าใจว่ารัฐบาลไม่สามารถปรับเปลี่ยนอะไรในเวลาเดียวกันแบบพลิกฝ่ามือ โดยเฉพาะในเชิงโครงสร้าง ระบบ วิธีการ และการใช้จ่ายงบประมาณ แต่ได้กำหนดผลสัมฤทธิ์ตามกรอบระยะเวลา เพื่อให้การพัฒนาเป็นรูปธรรมจับต้องได้ เช่น แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำ ปี 2557-2569 (แผนเดิม) ที่ต้องประเมินผลความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม พบว่าขุดสระในไร่นาแล้วเสร็จจำนวน 100,000 กว่าสระ คิดเป็นร้อยละ 40 จากเป้าหมาย 300,000 สระ ภายในปี 2569 หรือประปาหมู่บ้านที่ต้องทำให้แล้วเสร็จ 7,500 แห่ง ในปี 2560 ปัจจุบันแล้วเสร็จ 5,700 กว่าแห่ง คิดเป็นร้อยละ 77 นอกจากนี้ ยังจัดหาน้ำเพื่อการเกษตรเพิ่มเติมในระบบได้แล้ว 1,700 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 21 จากเป้าทั้งหมด 8,300 ล้าน ลบ.ม.
เรื่องที่ 4 พึงระลึกเสมอว่าการพัฒนาและการสร้างความเจริญเติบโตของประเทศ ต้องเน้นการรวมตัวรวมกลุ่มและอยู่บนพื้นฐานของความสมดุล เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง ยังช่วยให้การแก้ไขปัญหาและการขับเคลื่อนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือได้ง่ายขึ้น ทั้งในเรื่องของการจัดสรรงบประมาณ การใช้ทรัพยากร ซึ่วยลดลดงบประมาณในการดำเนินการ ไม่ให้เป็นเบี้ยหัวแตกอย่างที่แล้วมา นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศได้ในระยะยาว
เรื่องที่ 5 ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสาร และทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก อาเซียน และประเทศไทย ว่ามีผลสืบเนื่องกันในทุกมิติ
เรื่องที่ 6 ขอให้ประชาชนรวมถึงข้าราชการทั้งระดับบนระดับล่าง หันมาทำความเข้าใจและให้ความร่วมมือเพื่อให้ทำงานด้วยกันได้ เพราะที่ผ่านมาทั้งการเข้าใจและให้ความร่วมมือซึ่งกันนี้ เป็นปัญหาที่รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขได้ โดยวิธีการปรับเปลี่ยนคนที่ไม่เข้าใจหรือไม่ให้ความร่วมมือ ขอให้น้อมนำศาสตร์พระราชา “การเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” และการไว้เนื้อเชื่อใจ รวมถึงการสร้างแรงจูงใจ ให้กำลังใจ เข้ามาช่วยแก้ไข แต่ไม่ควรตำหนิติเตียน
เรื่องที่ 7 ที่ผ่านมาประเทศไทยมักมุ่งแก้ปัญหาเล็กๆ ไม่ตรงจุด หรือเน้นมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเดียว โดยไม่ทำในเรื่องการเสริมสร้างความเข้มแข็งไปพร้อมด้วย กล่าวได้ว่าสนใจงานในเชิงโครงสร้างน้อยเกินไป จึงควรหันมาใส่ใช่ในเรื่องนี้ให้มากขึ้น
เรื่องที่ 8 ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางการเกษตรสูง สามารถเพาะปลูกพืชเพื่อส่งเป็นสินค้าออก แต่ปัจจุบันพื้นที่เพาะปลูกกลับมีแนวโน้มลดลง จึงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืชใหม่ จากเกษตรธรรมชาติเป็นการพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น เช่น ระบบการปลูกพืชน้ำหยด การทำไร่นาสวนผสม เกษตรแปลงใหญ่ หรือการรวมตัวเป็นสหกรณ์การเกษตรที่เข้มแข็ง เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงในการเพาะปลูก การผลิต การแปรรูป การตลาด โดยเกษตรกรนั้น จะต้องรู้จักการบริหารจัดการตนเองทั้งระบบ เป็นทางเลือกให้เกษตรกรไทยยุคใหม่ที่เรียกว่า “สมาร์ท ฟาร์มเมอร์
เรื่องที่ 9 สังคมไทยต้องหันมาบริหารจัดการทรัพยากรในประเทศ ทั้ง แม่น้ำ ที่ดิน ป่าเขา อย่างเป็นระบบ ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าและรักษาสมดุลได้ ไม่ใช่ปล่อยให้ความอุดมสมบูรณ์ของประเทศเสื่อมโทรมไปมากกว่านี้ หรือถูกจำกัดการเข้าถึงให้อยู่เพียงแค่ประชาชนเพียงจำนวนหนึ่ง
เรื่องสุดท้าย 10 คนไทยต้องใช้ศักยภาพการเป็นศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ของประเทศในอาเซียนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งการเชื่อมโยง การค้าการลงทุนด้านการท่องเที่ยว การ รักษาพยาบาล ดิจิทัล การคมนาคมระหว่างประเทศ การไปมาหาสู่ของประชาชนในอาเซียน ฯลฯ ซึ่งต้องคิดให้ไกล เพราะถ้าไม่สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ รายได้ก็จะไม่เกิดขึ้นทั้งกับประชาชนและประเทศชาติ ในวันข้างหน้าที่จำนวนประชาชนมากขึ้น แต่รายได้กลับลดลง เศรษฐกิจของประเทศแย่ลง คนไทยคงอยู่กันไม่ได้
“ครอบครัวกากแก้ว” พิสูจน์แล้ว “ศาสตร์พระราชา” คือของจริง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตัวอย่างการนำศาสตร์พระราชาหลายแขนง ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันและในชีวิตการทำงานจนประสบความสำเร็จ คือครอบครัวข้าราชการชั้นผู้น้อยของ ร.ต.อ.หญิง วิภารัตน์ กากแก้ว พร้อมสอนให้บุตร-ธิดารู้จักการใช้ชีวิตในแบบ วิถีพอเพียงบนพื้นที่ 20 ไร่ของครอบครัว
โดย ร.ต.อ.หญิง วิภารัตน์ ได้ดำเนินการตามเกษตรทฤษฎีใหม่ แบ่งพื้นที่สำหรับปลูกบ้าน 1 หลัง ทำนา 13 ไร่ ขุดบ่อเลี้ยงปลา 4 บ่อ และพื้นที่ที่เหลือทำยุ้งฉาง เลี้ยงสัตว์ และทำสวนเกษตรแบบผสมผสาน ในการปลูกพืชผักสวนครัวกินเอง ขายเป็นรายได้เสริม แบ่งทำบุญ และแจกญาติพี่น้อง รวมถึงแลกเปลี่ยนพืชผลกันในตลาดชุมชนตามวิถีไทยที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ทั้งหมดในข้างต้นเป็นการทำเกษตรอินทรีย์แบบครบวงจรในครัวเรือน โดยใช้ปุ๋ยคอกจากมูลไก่ ดำนาเอง เก็บเกี่ยวเอง และสีเป็นข้าวสารเก็บไว้ในยุ้งฉางสำหรับกินเองได้ตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ มีการทำบัญชีครัวเรือนที่ทำให้รู้และลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และหารายได้เสริมให้เพียงพอต่อรายจ่ายที่จำเป็น โดยมีการเก็บออมไว้ร้อยละ 25 ไว้สำหรับใช้จ่าย ยามฉุกเฉิน เจ็บป่วย หรือในยามชรา
“ครอบครัวของ ร.ต.อ.หญิง วิภารัตน์ ได้ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวทางพระราชดำริจนประสบความสำเร็จ ทำให้สามารถทุ่มเทกับงานในเวลาราชการ และใช้นอกเวลาราชการทำไร่นาสวนผสม ใช้ชีวิตแบบพอเพียง ไม่ยึดติดลาภยศ ชีวิตก็มีความสุขทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ผมเห็นว่าเป็นแนวทางที่สร้างความเข้มแข็งในระดับครัวเรือนของสังคมไทยได้อย่างยั่งยืน ผมขอเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องประชาชนและข้าราชการที่น้อมนำแนวทางของพ่อไปสู่การปฏิบัติ ด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ให้ประสบความสำเร็จ” นายกฯ กล่าว