วันที่ 3 ก.พ.2561 นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียน-ไทย ดีเว๊ลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และพวกรวม 4 คน ถูกจับกุม พร้อมซากเสือดำ และซากสัตว์ป่าคุ้มครอง ถูกชำแหละไม่ไกลจากจุดที่นายเปรมชัย และพวกตั้งแคมป์อยู่ประมาณ 300 เมตร ในบริเวณลำห้วยปะชิ พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ฝั่งตะวันตก จ.กาญจนบุรี
คดีนี้สร้างความสะเทือนใจ และกลายเป็นกระแสต่อเนื่องตลอดทั้งปี นักเคลื่อนไหวออกมาจัดกิจกรรมหลากหลายวงการ ตอกย้ำความสูญเสีย รวมทั้งติดตั้งป้ายข้อความเสียดสี หรือรูปเสือดำ ระบุเสือดำไม่ตายฟรี เพื่อเตือนเจ้าหน้าที่ไม่เลือกปฎิบัติ และทำคดีอย่างตรงไปตรงมา
เนื่องจากนายเปรมชัย ถูกฟ้องร้องในคดีต่างๆ ที่เกี่ยวกับคดีลักลอบล่าและครอบครองซากสัตว์ป่า คดีครอบครองงาช้าง คดีครอบครองอาวุธปืน แต่ได้รับการประกันตัวในชั้นศาล โดยคดีหลักอยู่ระหว่างการพิจารณา
สำหรับคดีเสือดำ มีหลักฐาน 117 รายการ ความสอดคล้องวิถีกระสุนกับอาวุธปืนที่ยึดในที่เกิดเหตุ-ผู้ต้องหายังคงปฏิเสธ
ศาลจังหวัดทองผาภูมินัดสืบพยานโจทก์ ทั้งหมด 32 ปาก รวม 10 นัด ตั้งแต่วันที่ 27-30 พ.ย. 2561 วันที่ 6-7 ธ.ค.และ วันที่ 11-13 ธ.ค. และวันที่ 18 ธ.ค.นี้ โดยในระหว่างการสืบพยานฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลย ศาลจังหวัดทองผาภูมิ การวางข้อกำหนดเอาไว้ว่า ห้ามฝ่ายจำเลยและฝ่ายโจทก์ นำข้อมูลต่างๆ ในห้องพิจารณาคดีออกมาเผยแพร่ภายนอกโดยเด็ดขาด
ส่วนการสืบพยานจำเลย 16 ปากเริ่มตั้งแต่วันที่ 19 -26 ธ.ค.นี้ ซึ่งเป็นนัดสุดท้าย ทั้งนี้ นายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 7 ในฐานะหัวหน้าคณะทำงาน ระบุว่า หลังจากสืบพยานโจกท์ และจำเลยเสร็จสิ้นภายในวันที่ 26 ธ.ค.นี้ จะนำไปสู่การฟังคำพิพากษา
ทั้งนี้มีการยืนยันว่าศาลจังหวัดทองผาภูมิ นัดแถลงปิดคดีภายในวันที่ 25 ม.ค.2562
ขณะที่นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ฝั่งตะวันตก ให้สัมภาษณ์ไว้ในภายหลังเบิกความว่า ทำดีที่สุดแล้ว พร้อมยืนยันทั้งตัวเอง และเจ้าหน้าที่ จะมาเบิกความต่อศาลจนกว่าจะแล้วเสร็จ
ทำดีที่สุดแล้วเพื่อชีวิตเสือดำและสัตว์ป่าที่ถูกฆ่าไป และจะมาทุกวันจนกว่าจะแล้วเสร็จ
วันที่ 6 ต.ค.2561 นายพนัชกร โพธิบัณฑิต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติไทรโยค จ.กาญจนบุรี ได้รับแจ้งมีรถออฟโรด 6 คัน พร้อมพวกรวม 12 คน เข้าพื้นที่อุทยานไทรโยค ใกล้เคียงหนองเต่าดำเขาปลาน้อย และมีพฤติกรรมล่าสัตว์ป่าในอุทยานแห่งชาติไทรโยค จ.กาญจนบุรี
เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจค้นคณะออฟโรดของ "นายอำเภอด่านมะขามเตี้ย" และพวกพบอุ้งเท้าหมีอาวุธปืนไรเฟิล (ลูกกรด.22) และเครื่องกระสุนส่งให้เจ้าหน้าที่อุทยาน
ปลัดอำเภอด่านมะขามเตี้ย หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา ยืนยันไม่มีการล่าหมีขอ พร้อมปฏิเสธไม่เกี่ยวข้องและไม่รู้ว่าผู้ที่ร่วมเดินทางมาด้วยพกปืนไรเฟิล ผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นเจ้าของรถยนต์ที่พบของกลาง ยอมรับว่าของกลางเป็นของตนเอง แต่อุ้งตีนหมีซื้อมาจากชาวบ้าน ระหว่างเดินทางขึ้นไปสำนักสงฆ์เหมืองเต่าดำ
พิสูจน์หลักฐานลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรวดเร็ว การลงพื้นที่ครั้งแรก ณ จุดเกิดเหตุ สำนักสงฆ์เหมืองเต่าดำเส้นทางที่ยากลำบากพิสูจน์ว่าการจะเข้ามายังพื้นที่ไม่ใช่เรื่องง่าย
หลักฐานที่พบ คือกรามสัตว์ และร่องรอยการประกอบอาหาร ณ กระท่อมในสำนักสงฆ์ประกอบกับคำให้การของเด็กวัด ชื่อ "ตาต้า" ซึ่งต่อมากลายเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย เนื่องจากคำให้การมีพิรุธหลักฐานยังไม่มากพอ
นำไปสู่การลงพื้นที่ครั้งที่ 2 เบื้องหลังการลงพื้นที่ เพราะ"เจ้าอาวาส" สำนักสงฆ์เหมืองเต่าดำประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลัง"ตาต้า" สารภาพ เป็นคนยิง "หมีขอ"แต่ถูกชักนำและบังคับโดยคน 2 คน ที่ร่วมคณะออฟโรคเจ้าหน้าที่คุมตัว "ตาต้า" พร้อมเก็บหลักฐานเพิ่มเติม คือ "ซากหมีขอ"เพื่อให้หลักฐานแน่นขึ้นคดีนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่
ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมหลักฐานได้แล้วประมาณ 90% เพื่อสำนวนส่งให้กับอัยการ ในการสั่งฟ้องคดีโดยมีหลักฐานการพิสูจน์ดีเอ็นเอสัตว์ป่า คือหมีขอ กบทูต และของกลางพยานวัตถุ 15 รายการ เช่นปืน ปลอกกระสุน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
นับพันชีวิตสัตว์ป่า...ที่หายไป ?