วันนี้ (16 มี.ค.2562) สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกแถลงการณ์เรื่อง นโยบายแข่งกันแจกเงินของพรรคการเมืองส่อขัดรัฐธรรมนูญ
ด้วยขณะนี้ปรากฏเป็นการทั่วไปในการโฆษณาหาเสียงของพรรคการเมืองต่าง ๆ นั้น ส่วนใหญ่ของนโยบายจะมีลักษณะการใช้เงิน การแจกเงิน อย่างมากมายเข้าข่ายเป็นนโยบายประชานิยม เช่น การขึ้นค่าแรง 400-425 บาท ปริญญาตรี 18,000-20,000 บาท เบี้ยเด็ก 1,200 บาท เบี้ยวัยรุ่น 2,000 บาท เบี้ยคนชรา 1,800 บาท ข้าวหอมตันละ 18,000 บาท ฯลฯ
ซึ่งการกำหนดนโยบายและการโฆษณาหาเสียงดังกล่าวจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 ว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ ด้านการเมือง ม. 258 ก. (3) ประกอบ ม. 57 ของ พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ด้วย กล่าวคือ นโยบายใดที่ต้องใช้จ่ายเงิน การประกาศโฆษณานโยบายนั้น อย่างน้อยต้องมีรายการ ดังต่อไปนี้
(1) วงเงินที่ต้องใช้และที่มาของเงินที่จะใช้ในการดําเนินการ
(2) ความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดําเนินนโยบาย
(3) ผลกระทบและความเสี่ยงในการดําเนินนโยบาย
เพื่อที่จะทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ตัดสินใจที่จะลงคะแนนให้กับผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดได้
แต่ปรากฏว่านับตั้งแต่มี พรฎ.ให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ออกมา พรรคการเมืองส่วนใหญ่ที่ลงชิงชัยในการเลือกตั้งครั้งนี้ ยังไม่ดำเนินการให้เป็นไปตาม ม. 57 ของ พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 เลยและอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ ม.62 ประกอบ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 ซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศล้มเหลวเหมือนดั่งประเทศเวเนซูเอล่าในขณะนี้ได้
ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จำต้องนำความไปร้องเรียนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในวันจันทร์ที่ 18 มี.ค.62 เวลา 13.00 น. เพื่อขอให้สั่งพรรคการเมืองต่าง ๆ ดําเนินการให้ครบถ้วนและถูกต้องภายในระยะเวลาที่ กกต.กําหนดก่อนการลงคะแนนเลือกตั้ง
ซึ่งหากพรรคการเมืองใดไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของ กกต. ให้มีโทษปรับไม่เกิน 5 แสนบาท และปรับอีกวันละ 1 หมื่นบาท ตลอดระยะเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามมาตรา 121 ของ พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ต่อไป
หาก กกต.ยังเพิกเฉยต่อการแจ้งและบังคับให้พรรคการเมืองต่าง ๆ ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายข้างต้นแล้ว อาจทำให้การเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562 นี้ เป็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งสมาคมฯ อาจพิจารณานำไปสู่การฟ้องร้อง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้การเลือกตั้งทั่วไปในครั้งนี้เป็น “โมฆะ” ต่อไป