วันนี้ (17 ก.ค.2563) พล.ต.ต.สนธิชัย อาวัฒนกุลเทพ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยถึงกรณีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ได้แจ้งความดำเนินคดีเหตุการโจรกรรมหนังสือบุดสมุดข่อยโบราณ ที่เก็บรักษาไว้ในศูนย์ศิลปวัฒนธรรมไปเป็นจำนวนมาก
ล่าสุด ตำรวจได้สืบสวนจนจับกุมตัวบุคคลที่เผยแพร่ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์เพื่อขายหนังสือบุดโบราณจนสามารถจับกุมได้แล้ว 1 คน ซึ่งมีการสอบสวนขยายผลอย่างต่อเนื่อง และเตรียมขออนุมัติหมายจับเพิ่มอีก 1 คน ซึ่งเป็นบุคคลากรของมหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นผู้ที่ก่อเหตุเอง
ขณะที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นสถานที่เก็บหนังสือบุด หรือคัมภีร์โบราณของปักษ์ใต้จำนวนหลายพันเล่ม และเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย รวมทั้งอาจติดแหล่งเก็บสมุดบุดโบราณระดับโลกถูกปิดเงียบ ไม่มีเจ้าหน้าที่มาดูแลเป็นเวลาหลายวันแล้ว โดยเฉพาะในช่วงนี้ ไม่เปิดให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปในบริเวณดังกล่าว
แหล่งข่าวได้ให้ข้อมูลสำคัญถึงจำนวนหนังสือบุดโบราณ ประกอบด้วยกลุ่มหนังสือบุดโบราณที่ได้ถูกขึ้นทะเบียนไว้แล้ว สูญหายไปทั้งหมด 309 เล่ม คงเหลือ 1,200 เล่ม กลุ่มที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเหลือ 1,300 เล่ม ในกลุ่มนี้ไม่ทราบจำนวนที่สูญหายอย่างแท้จริง แต่คาดว่าอาจสูญหายไปถึง 1,000 เล่ม ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์โจรกรรม คาดว่าเป็นช่วงเวลาที่มีนายธีรวัฒน์ ช่างสาร เป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยศิลปะและวัฒนธรรม
ผู้สื่อข่าวพยายามติดต่อนายฆณัฐ ธาตุทอง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อได้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งแจ้งว่าอยู่ในระหว่างการเดินทางไปประชุมสัมมนาผู้บริหารที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.ขนอม ด้านคณะพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ได้จัดตั้งศูนย์รับบิณฑบาตคืนหนังสือบุดสมุดข่อยโบราณ ซึ่งเป็นสมบัติแผ่นดินคืนหลังพบถูกโจรกรรมไป
ทั้งนี้ ผู้อำนวยการหอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช เปิดเผยถึงความสำคัญของหนังสือบุดว่า ในทางวิชาการรจะเรียกว่าเอกสารโบราณที่สำเร็จขึ้นมาด้วยการ หัตถกรรม คือ การทำด้วยมือไม่ใช่การพิมพ์ ซึ่งจะประกอบไปด้วยศิลาจารึกสมุดไทยคัมภีย์ใบลาน สำหรับหนังสือบุด ทางวิชาการจะเรียกว่าสมุดไทย มีทั้งตำรายาต่างๆ ตำราเวทมนต์ โหรราศาสตร์ การดูดวง สรรพวิชาโบราณอยู่ในสมุดเหล่านี้ ซึ่งปัจจุบันมีคุณค่าที่ไม่สามารถประเมินเป็นเงินได้