วันนี้ (26 เม.ย.2564) เวลา 12.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ เปิดเผยกรณีตำรวจ สภ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา จับกุมผู้ที่ฝ่าฝืนไม่สวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในรถ จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ว่า กรณีดังกล่าว ไม่เป็นความจริง ยืนยันว่ากรณีดังกล่าว นางวรีรัตน์ ประสงค์เงิน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ต.บางนางร้า อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมกับนายสมพงษ์ รูปเหมาะ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ได้รับร้องเรียนว่าที่ตลาดบางปะหัน มีพ่อค้าขายกะทิไม่สวมหน้ากากอนามัย จึงไปตรวจสอบพบนายปกรกฤช รุมรัตน์ และนายกิตติศักดิ์ รุมรัตน์ ไม่สวมหน้ากากอนามัยจริง จึงนำตัวมาพบพนักงานสอบสวน สภ.บางปะหัน พิจารณาแล้วมีความผิดตามคำสั่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่ 1779/2563 ลงวันที่ 6 มิ.ย.2563 ประกอบ มาตรา 51 พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2548 อัตราโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท แต่ได้ทำการเปรียบเทียบปรับไปเพียงคนละ 500 บาท เพราะเป็นการกระทำผิดครั้งแรก
ส่งสำนวนให้ศาลใช้ดุลยพินิจเปรียบเทียบปรับ
ขณะที่ พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 แถลงชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว พร้อมระบุว่า พนักงานสอบสวน เข้าใจว่า มีอำนาจตามกฎหมายควบคุมโรคให้สามารถเปรียบเทียบปรับได้เอง จึงสั่งปรับเป็นเงิน 500 บาท แต่ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้แย้งไปว่ากรณีนี้พนักงานสอบสวนต้องปรับในอัตราขั้นต่ำ เป็นเงิน 6,000 บาท เพราะตามกฎหมายควบคุมโรคติดต่อและตามประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัด มีอัตราโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท พนักงานสอบสวนไม่สามารถปรับเป็นเงิน 500 บาทได้ จึงใช้อำนาจของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 สั่งเพิกถอนการเสียค่าปรับ 500 บาท และให้นำสำนวนส่งฟ้องศาลแขวง เพื่อให้ศาลฯ ใช้ดุลยพินิจในการเปรียบปรับแทน
นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้ตำหนิพนักงานสอบสวนที่กระทำไปโดยพลการ จากนี้จะกำชับไปยังตำรวจภูธร 9 จังหวัด ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ให้ปฏิบัติเป็นไปตามแนวทางเดียวกันแล้ว
ตั้งทีมที่ปรึกษา ก.ม.ปมไม่สวมหน้ากาก เน้นดูเจตนา
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอด ผบ.ตร. ได้สั่งให้ ผบก.ทุกจังหวัด ตั้งทีมกฏหมายขึ้นมาเพื่อแนะนำเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและพนักงานสอบสวน เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามเจตนารมย์ของกฎหมายและคำสั่ง ต้องใช้หลักรัฐศาสตร์ควบคู่กันไป ดูเจตนาก่อนว่าควรบังคับใช้กฏหมายหรือไม่ เช่น ขับรถส่วนตัวมาคนเดียวปิดกระจกทุกด้านก็ไม่น่าเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด COVID-19 หากดูแล้วไม่ได้มีเจตนาก็อาจใช้การตักเตือนก่อน พร้อมกำชับเด็ดขาดห้ามฉวยโอกาสหรือเรียกรับผลประโยชน์ แต่หากพบหรือมีหลักฐาน มีบทลงโทษทั้งวินัยและอาญา โดยฝากถึงพี่น้องประชาชนขอให้ช่วยกันให้ความร่วมมือกับรัฐบาลและจังหวัด ด้วยการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อออกนอกบ้านเพื่อเป็นการลดการแพร่ระบาด COVID-19