วันนี้ (29 มิ.ย.2564) นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาด COVID-19 ขณะนี้มีคนไข้จำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ป่วยที่รักษาหายกับที่รับเข้ามาใหม่ไม่สมดุลกัน และเตียงไม่เพียงพอ
อีกทั้งการเพิ่มโรงพยาบาลสนาม ไม่ทันกับการเพิ่มจำนวนของคนไข้ในช่วงนี้ สิ่งสำคัญคือบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานหนักมาหลายเดือนอยู่แล้วมีไม่พอ
เตรียมพร้อมขยายระบบ Home isolation
ทั้งนี้ มีการนำแนวทางการรักษาผู้ป่วย COVID-19 ที่บ้าน (Home isolation) เข้ามาใช้เพื่อให้จำนวนบุคลากรที่มีสามารถดูแลผู้ป่วยในปริมาณมาก ๆ ได้ โดยขณะนี้นำร่องที่โรงพยาบาลราชวิถี และวันนี้ (29 มิ.ย.2564) จะประชุมโรงพยาบาล เพื่อเตรียมพร้อมขยายระบบดังกล่าวไปทั่วประเทศ
นพ.จเด็จ กล่าวว่า ระบบ Home isolation ของไทยจะแตกต่างจากของต่างประเทศ ซึ่งต่างประเทศให้คนไข้ดูแลตัวเองทุกอย่าง แต่ระบบของไทยจะยังอยู่ในการดูแลของโรงพยาบาล ที่สนับสนุนอุปกรณ์วัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจนไปที่บ้านเพื่อวัดค่าต่าง ๆ มีแพทย์โทรศัพท์ หรือวิดีโอคอลตรวจสอบอาการทุกวัน มีการส่งอาหารและน้ำให้วันละ 3 มื้อ หากอาการทรุดลงก็จะส่งยาฟ้าทะลายโจร และยาฟาวิพิราเวียร์ไปให้ที่บ้าน หรือส่งรถไปรับมานอนที่โรงพยาบาล
ระบบของไทยจึงไม่ใช่การผลักผู้ป่วยให้ไปเผชิญชะตากรรมเดียวดายอยู่ที่บ้าน แต่ดูแลเหมือนอยู่ในโรงพยาบาล เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่เป็นที่บ้าน ซึ่งคนไข้ที่จะทำแบบนี้ก็ไม่ได้ทำกับผู้ป่วยทั้งหมดแต่ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์และลักษณะบ้านว่ามีความเหมาะสมที่จะกักตัวได้หรือไม่
ทั้งนี้ สปสช.จะสนับสนุนค่าบริการให้แก่โรงพยาบาล ตั้งแต่ค่าตรวจหาเชื้อ ค่ารักษา ค่ายา สนับสนุนค่าอุปกรณ์ไม่เกิน 1,100 บาท และค่าดูแลผู้ป่วยร่วมอาหาร 3 มื้อ ไม่เกินวันละ 1,000 บาท เป็นเวลา 14 วัน โดยการจัดส่งอาหารขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของโรงพยาบาล เช่น ประกอบอาหารจากโรงครัวแล้วส่งให้ผู้ป่วยที่บ้าน หรือสั่งซื้ออาหารจากร้านค้าแล้วใช้บริการจัดส่งอาหารให้ผู้ป่วย
สิ่งที่เรากลัวคือท่านไม่อยู่บ้าน แต่ออกมาข้างนอก แต่คนไข้ที่จะทำแบบนี้ก็ต้องมีการแนะนำแนวทางการปฏิบัติตัวกันระดับหนึ่ง เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎและอยู่บ้านจริงๆ เราคิดว่าถ้ามีการส่งอาหารส่งน้ำให้ทุกวันก็ไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรให้ออกจากบ้าน
"Community isolation" ใช้วัด-โรงงานเป็นพื้นที่ดูแล
นอกจากการทำ Home isolation ในบางสถานที่ที่มีผู้ติดเชื้อหลายคนก็อาจทำเป็นลักษณะ Community isolation ก็ได้ คือนำผู้ป่วยหลาย ๆ คนไปดูแลในสถานที่ที่จัดไว้เป็นการเฉพาะในชุมชน เช่น ในโรงงาน ในวัด โดยมีรถเอกซเรย์ รถแล็บไปตรวจ มีแพทย์ใช้ระบบ teleconference ดูแลสอบถามอาการทุกวัน ซึ่งทาง สปสช.ก็จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้เช่นเดียวกัน
หลักการคือดูแลเสมือนอยู่ในโรงพยาบาล มีอุปกรณ์ให้ มีระบบการดูแลติดตามอาการทุกวัน และส่งข้าว ส่งน้ำให้ 3 มื้อ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าหากตรวจพบเชื้อแล้วจะให้ไปอยู่บ้านทันที อาจจะเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาลก่อน 7 วัน พอเชื้อในตัวหมดลง อาการดีขึ้นก็กลับไปดูแลตัวเองที่บ้านให้ครบ 14 วัน ซึ่งจะใช้แนวทางดังกล่าวในสถานการณ์ที่เตียงเริ่มตึงตัวเท่านั้น
แนวทางนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำตลอดไป แต่เอามาใช้ในสถานการณ์ที่เตียงเริ่มมีความตึงตัวเท่านั้น