วันนี้ (24 ธ.ค.2564) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า บริษัทแอสตราเซเนกา ได้เผยแพร่ข้อมูลการศึกษาจากห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ชี้ว่าการฉีดวัคซีนแอสตราเซนเนกาที่เป็นวัคซีนกระตุ้น เข็ม 3 นั้น สามารถเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอนได้
นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ผู้ได้รับวัคซีนในระดับที่สูงกว่าผู้ที่เคยติดเชื้อและหายป่วยได้เอง ขณะนี้ บริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาประสิทธิภาพของวัคซีนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านสายพันธุ์โอมิครอน
สำหรับแผนการจัดหาวัคซีนของรัฐบาลในปี 2565 นั้น มีจำนวน 120 ล้านโดส เป็นวัคซีนแอสตราเซเนกาจำนวน 60 ล้านโดส โดยรัฐบาลมีข้อตกลงกับบริษัทผู้ผลิตว่า สำหรับวัคซีนที่จัดส่งให้แก่ประเทศไทยนั้น จะต้องเปลี่ยนเป็นวัคซีน Generation ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และรองรับการกลายพันธุ์ของไวรัสทันทีที่งานวิจัยต่าง ๆ เสร็จสิ้น
ขณะที่ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีนี้ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ให้นโยบายไว้ในที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้ง12/2564 หลังมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดออกมาข้อมูลมาว่าวัคซีนแอสตราเซเนกา 3 เข็มมีประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน พอ ๆ กับ 2 เข็มที่สู้กับสายพันธุ์เดลตา
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่ออกมาล่าสุด ขณะนี้กรมควบคุมโรคจึงต้องประสานขอข้อมูลจากอังกฤษ เพื่อนำข้อมูลไปให้คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนได้พิจารณา ก่อนจะนัดประชุมเพื่อพิจารณาอีกครั้งว่าจะปรับสูตรฉีดวัคซีนอย่างไร เนื่องจากเดิมไทยใช้สูตรแอสตราเซเนกา 2 เข็ม แนะนำให้บูสเตอร์วัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 3 อาจจะเปลี่ยนเป็นบูสเตอร์ด้วยแอสตราเซเนกาอีก 1 เข็ม เป็นสูตร Triper A "AAA"