วันนี้ (4 พ.ค.2565) นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีมีผู้บุกรุกเข้าเขตหวงห้ามการบิน ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่าเมื่อเวลา 11.50 น.วันที่ 3 พ.ค.มีบุคคลภายนอกขับขี่รถจักรยานยนต์ พกอาวุธ ฝ่าฝืนมาตรการรักษาความปลอดภัย บุกรุกเข้าพื้นที่หวงห้ามภายในเขตการบิน
โดยศูนย์รักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ติดตามตัวผู้ก่อเหตุ พร้อมสกัดจับ แต่ผู้บุกรุกมีอาวุธ จึงต้องใช้กำลังในการควบคุม แต่ทำให้เหตุการณ์จบลงได้ภายใน 10 นาที ก่อนนำผู้บุกรุกส่งตำรวจ
ผู้ก่อเหตุคนดังกล่าว เป็นชายไทย อายุ 34 ปี โดยขณะจับกุม ยังมีอาการมึนเมาจากการเสพยาเสพติด โดยเจ้าหน้าที่สามารถยึดของกลางเป็นสิ่งเทียมอาวุธปืนสั้น และของมีคม คือขวานเหล็ก กับกรรไกร พร้อม ยาบ้า 1 เม็ด ซึ่งจากการสอบสวนเมื่อคืนนี้ ผู้ก่อเหตุพูดจาไม่รู้เรื่อง
นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า ผู้ก่อเหตุกระทำความผิดต่อพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 ตามมาตรา 19 ด้วยข้อหาใช้อาวุธหรือวัสดุอื่นใดกระทำการอันอาจเป็นอันตราย หรือน่าจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของท่าอากาศยาน ซึ่งมีระวางโทษหนัก อาจถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต
ขอให้ผู้โดยสารเชื่อมั่นว่าเมื่อมาใช้บริการที่สนามบิน จะได้รับความปลอดภัย ยังมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เป็นสากล แต่เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนที่จะยกเป็นกรณีศึกษาในการปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม
อ่านข่าวเพิ่ม จับแล้ว! ชายถืออาวุธบุกแอร์ไซด์สุวรรณภูมิ
เล็งอนุญาตใช้ "ปืนไฟฟ้า" ให้เจ้าหน้าที่พก
นอกจากนี้ เบื้องต้นอาจต้องพิจารณานำเรื่องการใช้ปืนไฟฟ้ามาเป็นอุปกรณ์คู่กายให้เจ้าหน้าที่ไว้ใช้ในการปฏิบัติงาน ซึ่งในสนามบินทั่วโลกหลายแห่งก็มีการนำปืนไฟฟ้ามาใช้ รวมทั้งอาจต้องปรับปรุงกายภาพ และอุปกรณ์ต่างๆ ในการตรวจสอบ และป้องกันในการเข้าพื้นที่เขตการบิน อาทิ แท่งเหล็กกั้น ซึ่งเดิมกั้นได้เฉพาะรถยนต์เท่านั้น
การที่มีหลายคนตั้งคำถามว่าทำไมไม่ใช้ปืน ขอชี้แจงว่า การใช้อาวุธปืนต้องเป็นขั้นตอนสุดท้าย เพราะเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน และเป็นพื้นที่ที่มีคนเดินทางเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องจับด้วยมือก่อน
ด้านพ.ต.อ.จิรวัฒน์ เปี่ยมปิ่นเศรษฐ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร (สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) กล่าวว่า ผู้ก่อเหตุจะถูกดำเนินคดีใน 7 ข้อหา ดังนี้ 1.ใช้อาวุธทำลายทรัพย์สินท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 2.บุกรุก และใช้กำลังประทุษร้าย 3.ทำให้เสียทรัพย์ 4.พกพาอาวุธไปในเมืองโดยไม่มีเหตุอันควร 5.มียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 ยาบ้าไว้ในครอบครอง 6.เสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 17.ทำให้ผู้อื่นเกิดความหวาดกลัว โดยจะมีการส่งตัวไปศาลในวันที่ 5 พ.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหารายนี้เคยมีประวัติถูกจับเรื่องยาเสพติดเมื่อปี 57 ที่บางเสาธง 2 คดีด้วย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
จ่อตั้ง 6 ข้อหาหนัก "ชายเมายาบ้า" บุกสนามบินสุวรรณภูมิ