นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หรือ เฮียกวง เป็นที่รู้จักในฐานะมือเศรษฐกิจคนสำคัญ สมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ยศขณะนั้น) ตั้งแต่พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งปี 2544 ในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายประชานิยมหลากหลายโครงการ ที่ถูกนำมาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งและต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลในการแถลงต่อรัฐสภา
นายสมคิดยังทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชนะเลือกตั้งครั้งที่ 2 ในปี 2548 และยังได้รับความไว้วางใจนั่งตำแหน่งสำคัญใน ครม.อย่างต่อเนื่อง ทั้งรองนายกฯ กับ รมว.คลังสลับไปมา หรือนั่งควบพร้อมกัน
แต่ความโดดเด่นทั้งในประเทศและบนเวทีนานาชาติ ได้กลายเป็นภัยให้กับตัวเขาได้เช่นกัน ยิ่งในช่วงความนิยมรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลถดถอยลง เมื่อมีแกนนำในรัฐบาลส่วนหนึ่งเคลื่อนไหวสนับสนุนหวังชูนายสมคิดเป็นผู้นำรัฐบาลคนใหม่ แต่ผู้มีอำนาจตัวจริงไม่เอาด้วย จึงถูกลดฐานะและบทบาท ไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ก่อนจะหายไปจากครม. ไปมีบทบาทในพรรคการเมืองขนาดเล็กอยู่ช่วงหนึ่ง
ก่อนจะกลับมาผงาดอีกครั้งในฐานะรองนายกฯ และเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แทนที่ทีมเศรษฐกิจของ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปริดิยาธร เทวกุล เซนต์คาเบรียลคอนเนคชั่น ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
แต่ต่อมา ทั้งนายสมคิดและขุนพลทีมเศรษฐกิจ 4 กุมาร ก็ถูกนักการเลือกตั้งมืออาชีพเขี่ยกระเด็นออกจากตำแหน่งทั้งในพรรคและในรัฐบาล
แม้หลายโครงการด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล “บิ๊กตู่” รวมทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะมาจาก นายสมคิด ดังที่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ที่ นายสมคิดเป็นประธานพรรค ออกโรงยืนยันถึงความสำคัญ และเป็นการตอบโต้พรรคประชาธิปัตย์อยู่ในที
หลังจากนายสมคิดไปแสดงวิสัยทัศน์ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะภูมิภาคอันดามัน ที่ จ.ภูเก็ต เมื่อไม่กี่วันก่อน ถูกนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ วิพากษ์ว่า เป็นคนอยู่บนคอหอยงาช้าง ไม่ได้เก่งจริง
จึงไม่เพียงพรรคสร้างอนาคตไทย จะชูจุดขายของนายสมคิดเรื่องการเป็นมือเศรษฐกิจผู้เชี่ยวชาญ และเหมาะสมกับผู้นำประเทศในยุคสมัยปัจจุบันเท่านั้น ยังสะท้อนชัดเจนว่า พรรคสร้างอนาคตไทย พร้อมเป็นอีกพรรคการเมืองหนึ่งที่จะร่มลุยชิงเก้าอี้ ส.ส.ในพื้นที่ภาคใต้ ในครั้งหน้า
ปัจจัยที่ทำให้ลูกพรรคและนายสมคิดมั่นใจ คือเสียงตอบรับดีจากภาคธุรกิจในพื้นที่ภาคใต้ และภาคอื่น ๆ อีกส่วนหนึ่ง ที่ตระหนักว่า ปัญหาใหญ่ของประเทศขณะนี้ คือเรื่องเศรษฐกิจ ที่ทีมของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ถูกด้อยค่า
แต่เมื่อดูจากองค์ประกอบของพรรคการเมืองที่พึงต้องมี หากหวังแจ้งเกิดบนเวทีการเมืองในครั้งต่อไป คือเรื่องยุทธปัจจัยที่เชื่อว่าน่าจะสอบผ่าน แต่คำถามอื่นที่สำคัญ คือประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั่วไป จะชื่นชอบและเชื่อมั่นในตัวนายสมคิดแค่ไหน
ฐานที่มั่นสำคัญหรือเมืองหลวงของพรรคสร้างอนาคตไทย ที่พรรคต้องมี ส.ส. เขตเป็นฐานค้ำยันเบื้องต้น จะเป็นพื้นที่ไหน เพราะแม้แต่ในพื้นที่ภาคใต้ แม้จะได้นายนิพิฏฐ์ และเสธ.ชาติ พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล ตท.12 อดีตเพื่อนร่วมรุ่น พล.อ.ประยุทธ์ ที่เคยนำพรรคพลังประชารัฐ ปักธงในภาคใต้ได้ เป็นแกนหลัก แต่คะแนนนิยมหรือฐานคะแนนปัจจุบันของทั้งคู่จะยังปึ้กแค่ไหน
ยังไม่นับในพื้นที่ภาคอีสาน ที่มีส.ส.ถึง 1 ใน 3 ของส.ส.เขตทั้งประเทศ นายสุพล ฟองงาม อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย เป็นแกนนำ และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตแกนนำกลุ่มกรุงเทพฯ 50 เป็นแกนนำสำคัญในกรุงเทพฯ จะยังมีคะแนนนิยมแค่ไหน
เป็นโจทย์ใหญ่เบื้องต้นของพรรคสร้างอนาคตไทยที่ต้องทำ แต่ที่สำคัญจริง ๆ คือทำอย่างไรจึงจะได้ ส.ส.5 % หรือ 25 คนขึ้นไป เพื่อส่งชื่อนายสมคิดเป็นแคนดิเดตนายกฯ ให้ได้เสียก่อน
แม้นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคจะโพสต์ข้อความขอบคุณนักธุรกิจในแถบอันดามัน ที่พร้อมสนับสนุนให้นายสมคิดเป็นแคนดิเดทนายกฯก็ตาม แต่คนชี้ขาดจริงๆคือเสียงของมวลมหาประชาชน
ประจักษ์ มะวงศ์สา รายงาน