การเปิดข้อมูลของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เรื่องตู้ห่าว หรือหาว เจ๋อ ตู้ หรือ นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หนึ่งใน 1 ใน 5 เสือกลุ่มธุรกิจสีเทาจีนและเครือข่ายสีเทารายอื่น ๆ ไม่เพียงเป็นเรื่องใหญ่ ที่ผู้คนทั่วไปให้ความสนใจเท่านั้น
ยังมีเสียงตอบรับจากทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ผบ.ตร.มอบหมายให้รอง ผบ.ตร.2 คน คือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล และพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็นผู้ดำเนินการแล้ว กรรมาธิการ ป.ป.ช.ของสภาผู้แทนราษฎร ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็นประธานก็เตรียมขยับเช่นกัน
หลังเพิ่มเติมประเด็น มีเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ และตม.หรือตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไปเกี่ยวข้อง และสนับสนุนให้เกิดกระบวนการทุนจีนสีเทาและกลายเป็นมาเฟียในประเทศ
ก่อนหน้านี้ ตู้ห่าวถูกโยงเกี่ยวพันกับทั้งเรื่องเงินบริจาค 3 ล้านบาท ให้พรรคพลังประชารัฐ และการซื้อบ้านด้วยเงินสด ในโครงการของบริษัท เอสซีเอสเซ็ท บริษัทด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลชินวัตร แทบยกโครงการ และมี “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ทายาท และคนสำคัญของพรรคเพื่อไทย สำหรับสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ตู้ห่าวเป็นสามีของนายตำรวจหญิงยศ พ.ต.อ. เกี่ยวโยงถึงนายตำรวจใหญ่ 2 คนแห่งภาคอีสาน และมียังมีภรรยา ส.ส.พรรคการเมืองใหญ่ พรรคเพื่อไทยมีชื่อถือหุ้นในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือของตู้ห่าวที่ภูเก็ต แต่ไม่ได้แจ้งรายละเอียดในการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.
ยังเกี่ยวข้องกับนักการเมืองใหญ่อีกราย ที่นายชูวิทย์ทั้งบอกใบ้ และระบุชื่อว่า มาจากคำพูดของนายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตนายตำรวจสันติบาล ว่า นักการเมืองคนดังกล่าว ฝากให้ดูแลกลุ่มทุนจีนกลุ่มนี้ด้วย
ที่สำคัญคือ ข้อมูลที่นายชูวิทย์ไปให้การกับกมธ. ป.ป.ช. ของสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า มีบางคนพาตู้ห่าวไปพบคนคนหนึ่งที่ชอบสะสมนาฬิกา และตู้ห่าวยังได้มอบนาฬิกาหรูมูลค่ากว่า 10 ล้านบาทให้ด้วย ยิ่งเป็นปมปริศนาให้ผู้คนใคร่อยากจะรู้ว่า คนชอบสะสมนาฬิกาที่ว่านี้เป็นใคร ใช่คนเดียวที่หลายๆ คนคิดอยู่ในใจหรือไม่
หากเป็นจริง เท่ากับกลุ่มทุนสีเทาจีนที่ว่านี้ ไม่เพียงขยายอิทธิพลไปเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองและคนการเมืองอื่น เพื่อใช้เป็นเกราะกำบัง สร้างบารมีและเปิดทางสะดวกในการทำธุรกิจสีเทาเพิ่มขึ้นเท่านั้น
ข้อมูลของนายชูวิทย์ ยังชี้ให้เห็นถึงวิธีการสร้างรายได้มหาศาล จากการเปลี่ยนสถานะวีซ่าของนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นนักเรียนภาษา และเป็นอาสาสมัครช่วยงานมูลนิธิ เพื่อหวังยืดเวลาการอยู่ในประเทศไทยให้นานขึ้น เฉพาะตัวเลข 2 ปี คือ 2563-2564
นายชูวิทย์บอกว่า มีมากกว่า 700 ล้านบาท ยังไม่นับตัวเลขที่อ้างว่าอย่างน้อยมีตม.10 แห่ง ที่เปลี่ยนวีซ่าให้จีนเทามากกว่า 7,686 คน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน และเฉพาะตม.ขอนแก่นแห่งเดียว มีมากที่สุด 3,325 คน สะท้อนตัวเลขมโหฬารกับช่องทางง่ายๆ ที่ต้องมี “คนรู้ช่องทางดี”เป็นคนชี้ทางให้
เท่ากับกลุ่มทุนสีเทาจีนกลุ่มนี้ อาจไม่ใช่หวังสร้างอาณาจักรหากินกับลูกค้าคนจีน ทั้งกลุ่มธุรกิจสีขาว สีเทา และนักท่องเที่ยวเที่ยวชาวจีนที่มาเข้าประเทศไทยเท่านั้น
แต่อาจมีเป้าหมายและมีสถานภาพปัจจุบันไปไกลกว่านั้น คือไม่เพียง “เจือสม” เรื่องผลประโยชน์และรายได้ กับคนในเครื่องแบบมีสีเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปถึงคนระดับซุปเปอร์บิ๊ก ที่อาจอยู่เบื้องหลังและตำแหน่งสูงกว่านั้นก็เป็นได้
หรือไม่อาจเชื่อมโยงถึงเรื่องเงินทุน สำหรับต้องใช้จ่ายในการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่เชื่อกันว่า จะมีแข่งขันหนักหน่วงมากกว่าทุกครั้ง และเงินทุนจะเป็นตัวตัดสินชี้ขาดสุดท้าย
ขึ้นอยู่ที่การเดินหน้าเอาจริงของตำรวจ ซึ่งโดนกล่าวหาว่าเกี่ยวโยงด้วย เพราะแม้แต่เพื่อนร่วมรุ่นของนายตำรวจคนดังที่กำลังจัดการเรื่องนี้ก็ไม่เว้น ส่วนจะทำได้สำเร็จจริงจังแค่ไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะปกติแล้ว เมื่อเรื่องไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น ย่อมหาพยานหลักฐานค่อนข้างยาก และมักจะไม่มีใครทิ้งอะไรไว้ให้มัดคอตนเอง
กลุ่มทุนสีเทาจีนปริศนาก็เช่นเดียวกัน
วิเคราะห์โดย : ประจักษ์ มะวงศ์สา