แม้แต่ในวันแถลงกับสื่อมวลชนหลังกลับจากประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษครบรอบ 45 ปี เมื่อวันก่อนก็จบลงแบบเดิม คือวงแตกเมื่อถูกถามเรื่องนี้ และไล่สื่อให้ไปคิดเอาเอง
ทำให้ความเด่นชัดทั้งตัว พล.อ.ประยุทธ์ และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ยังเป็นภาพเบลอๆ หาโฟกัสไม่เจอต่อไป ทั้งที่ความจริง พอจะประเมินออกระดับหนึ่งอยู่แล้ว ว่าจะไปต่อมากกว่ายุติทางเดินบนเส้นทางการเมือง
ทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติเมื่อเทียบกับพรรคภูมิใจไทย ที่ชูนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแล้ว คึกคักและเต็มไปด้วยสีสันต่างกัน
ยิ่งมีภาพของ ส.ส.จากหลายพรรคการเมืองพร้อมใจกันลาออกจากทั้งพรรคและสภาผู้แทนราษฎรไปสมัครเป็นพลพรรคภูมิใจไทย และพร้อมเปิดตัวเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย ส่งผลให้ราศี บารมี รวมถึงความพร้อมของพรรคภูมิใจไทยจึงยิ่งเฉิดฉาย
แม้ว่าก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่เลือกตั้งปี 2562 เป็นต้นมา พล.อ.ประยุทธ์ จะเหนือกว่าในทุก ๆ ด้าน เป็นที่เคารพยำเกรงของนายอนุทินเสมอมา และความจริงก็จ่อคิวจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีต่อ หลังการเลือกตั้งส.ครั้งหน้าอยู่แล้ว
เพราะการเปิดตัวและเชื่อมโยงไปยังพรรครวมไทยสร้างชาติแทนพรรคเดิม พรรคพลังประชารัฐ แต่เพราะการปรับเปลี่ยนบุคลิกใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งอาจโดยที่ปรึกษาที่ต้องการสลัดภาพเดิม ๆ ที่ตกเป็นเป้าโดนวิพากษ์โจมตีตลอด เช่น การชอบให้สัมภาษณ์สื่อ แต่มักชอบร่ายยาวเกินไป บ่อยครั้งถูกยั่วยุแล้วเก็บอาการไม่อยู่ มี “ของขึ้น” เป็นประจำ
ทั้งยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่เพิ่งชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ที่ชูสโลแกน “ทำงาน ทำงาน ทำงาน” จึงหวังจะเปลี่ยนลุคใหม่เป็นคนจริงจัง พูดน้อยแต่ทำงานเยอะ ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงเป็นอย่างที่เห็น
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เพราะความไม่ชัดเจนของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังทำให้ ส.ส.บางส่วนที่เดิมตั้งใจจะย้ายตามไปอยู่พรรคใหม่ เริ่มลังเลและบางส่วนตัดสินใจไปอยู่พรรคภูมิใจไทย ที่มีความพร้อมทุกด้าน นับวันยิ่งมีจำนวนส.ส.หน้าเก่าหน้าใหม่ทะลุหลัก 100 คนไปแล้ว จึงเหลือ ส.ส.ที่ยังคงอยู่ในสภาผู้แทนฯ และเป็นกลุ่มที่ยังมีโอกาสย้ายพรรคได้ รวมแล้วไม่กี่สิบคน
อีกด้านหนึ่ง พรรครวมไทยสร้างชาติ ถึงขณะนี้ยังไม่มีสมาชิกพรรคที่เป็น ส.ส.ชุดปัจจุบันสมัครเป็นสมาชิกพรรคอย่างเป็นทางการเลยแม้แต่คนเดียว แม้จะมีบางคนประกาศชัดเจนว่าจะเลือกไปอยู่กับ “บิ๊กตู่” แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าสมัครเข้าพรรคแล้ว
ที่ผ่านมามีเพียงข่าวแกนนำพรรคพา ส.ส.ไปพบที่บ้านพัก ให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ยังไม่มีข่าวเอาจริงถึงขั้นสมัครเป็นสมาชิกพรรค
แม้กูรูการเมืองบางคน จะยังเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะย้ายไปเป็นแคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีพรรครวมไทยสร้างชาติแน่ ๆ และจะกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูด ส.ส.คนอื่น ๆ เข้าพรรคอย่างคึกคักคึกครื้น แต่ต้องไม่ลืมว่า เรื่องการย้ายพรรคมีเงื่อนไขเรื่องปมเวลาในการสังกัดพรรคการเมืองใหม่กำหนดบังคับไว้อยู่ ขณะที่อายุรัฐบาล อยู่ได้เต็มที่ไม่เกิน 23 มีนาคม 2566
เท่ากับจะขยับตัวทำอะไร ก็ต้องทำชนิด “เร่งฉีดสารใส่ปุ๋ย” แข่งกับเวลาที่งวดเข้ามาทุกที และจะมัวแต่มั่นใจว่าเป็นเสียงข้างมากในสภาดังเดิม อยู่ยาวได้เท่าที่ใจคิดอยากจะอยู่ก็ไม่ได้ เพราะหลังการลาออกแบบ “บิ๊กล๊อต” ของ ส.ส.8-9 พรรคล่าสุด ที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าจะไปซบพรรคภูมิใจไทยนั้น
ตัวเลข ส.ส.ที่เหลืออยู่และดูจากความรับผิดชอบต่อการประชุมสภาและรักษาองค์ประชุม แม้แต่นายนิกร จำนง ผอ.พรรคชาติไทยพัฒนา หนึ่งในนักการเมืองอาวุโส ยังฟันธงว่า สามารถยุบสภาได้ทุกเมื่อ
หากเกิดขึ้นจริง เรื่องอย่างนี้โทษใครไม่ได้ ต้องโทษตนเอง มัวแต่ออกแขก-รำมวย
วิเคราะห์โดย : ประจักษ์ มะวงศ์สา