วันนี้ (20 เม.ย.2566) ข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ (UN) ชี้ว่า อินเดียกำลังจะขึ้นเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 1 ของโลก ภายในช่วงกลางปีนี้ โดยคาดว่าจำนวนประชากรอินเดีย จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,428.6 ล้านคน มากกว่าจีน 2.9 ล้านคน โดยประชากรของจีนจะอยู่ที่ 1,425.7 ล้านคน
ทั้งนี้่ตัวเลขยังเป็นการประมาณการและไม่สามารถระบุวันที่แน่ชัดได้ เนื่องจากอินเดียไม่ได้ทำสำรวจสำมะโนประชากรมาตั้งแต่ปี 2011 แม้ว่าเดิมทีอินเดียจะสำรวจสำมะโนประชากรทุก 10 ปี มานานถึง 140 ปี ไม่ขาด แต่ปี 2021 ที่ผ่านมาแน่นอนว่าเกิดปัญหาโควิด-19 ระบาดทำให้ต้องตัดสินใจเลื่อนเป็นปี 2022 แต่ตอนนี้เลื่อนออกไปอีกเป็นปี 2024
ตลอดกว่า 70 ปีที่ผ่านมา 2 ประเทศนี้มีจำนวนประชากรคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 ของทั้งโลกที่มีอยู่กว่า 8,045 ล้านคน ในปัจจุบัน แต่อัตราการเกิดที่ลดลงในจีนที่ลดลงอย่างต่อเนื่องมาพักหนึ่ง ทำให้ปีที่แล้วเป็นปีแรกในรอบกว่า 60 ปี ที่จำนวนประชากรจีนลดลงหรือตั้งแต่ปี 1961
ขณะที่ อินเดียก็มีอัตราการเกิดที่ชะลอตัวลงเช่นกันในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา จากเดิมอัตราการเกิดอยู่ที่ 5.7 ต่อผู้หญิง 1 คน เมื่อปี 1950 ลดลงเหลือ 2.2 ในปัจจุบัน ตามข้อมูลจากธนาคารโลก
ประชากรอินเดียยังนับว่าอายุน้อยกว่ามากในภาพรวม โดยมีคนอายุน้อย คือ ระหว่าง 15-24 ปี มากที่สุดในโลก ที่กว่า 254 ล้านคน ทำให้การเติบโตของประเทศนี้จะส่งผลในเชิงเศรษฐศาสตร์และเป็นที่น่าจับตามอง
RACHEL SNOW จากกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ซึ่งเป็นนักประชากรศาสตร์ ระบุว่า รูปแบบประชากรโลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง และหากถามชาวอินเดียเอง พวกเขาจะรู้สึกถึงความแออัด รู้สึกว่าจำนวนประชากรมากเกินไปและอัตราการเกิดในปัจจุบันสูงเกินไปจนเป็นปัญหา โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
ขณะที่ ผู้เชี่ยวชาญ ระบุ นี่เป็นสัญญาณของความก้าวหน้าและการพัฒนามากกว่า หากในสังคมมีการเคารพซึ่งสิทธิและทางเลือกต่าง ๆ ตามสมควร