วันนี้ (25 ก.ค.2566) นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมคดี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ซุกหุ้นห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญ คอนสตัคชัน จนนำศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว
อ่านขาว ศาลรัฐธรรมนูญ ยืนคำสั่ง "ศักดิ์สยาม" หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรี
นายปกรณ์วุฒิ เปิดเผยว่า ได้รับเอกสารชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเมื่อ 3 - 4 สัปดาห์ก่อน และพบพิรุธหลายจุด พบหลักฐานใหม่ว่า มีหนี้สินคงค้างกับห้างหุ้นส่วนฯ ในวันเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีและไม่ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.
มีข้อมูลว่า นายศักดิ์สยามเคยกู้เงิน ในช่วงปี 2558 - 2559 จำนวน 4 ครั้ง ในวงเงิน 108.4 ล้านบาท มีสัญญากู้ยืมเงิน และชำระหนี้คืนทั้งก้อนวันที่ 22 เม.ย 2562 ก่อนเข้ารับตำแหน่ง 33 วัน โดยอ้างอิงว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปี 2565 ซึ่งได้อภิปรายถามว่าหนี้สินที่นายศักดิ์สยามมีกับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้ ได้โอนออกพร้อมกับการโอนหุ้นหรือไม่แต่ไม่เคยได้รับคำตอบ
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดไม่เปิดเผย ชี้ให้เห็นว่า หลังจากการโอนหุ้นแล้วไม่มีการโอนหนี้สินก้อนนี้ออกไปด้วย เอกสารเป็นการมัดตัวว่า หนี้สินจำนวนนี้ยังเป็นของนายศักดิ์สยามอยู่หลังการโอนหุ้นเมื่อปี 2561 จึงเกิดคำถามว่า มีการชำระหนี้คืนเมื่อวันที่ 22 เม.ย.2562 จริงหรือไม่
เอกสารที่นายปกรณ์วุฒิ นำมาแสดงเพิ่มเติม
เนื่องจากงบการเงินของห้างหุ้นส่วนสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2562 ระบุชัดเจนว่า ยังมีเงินให้ในส่วนผู้จัดการกู้ยืมคงค้างอยู่ 38 ล้านบาท จากนั้นยอดหนี้สินจึงถูกปิดลงเหลือ 0 บาท ในงบการเงินสิ้นปี 2563 ซึ่งการปิดงบจะต้องสอดคล้องกับเอกสารและยอดเงินในธนาคารทั้งหมดของห้างหุ้นส่วน เพราะจะต้องยื่นต่อหน่วยงานราชการตามกฎหมาย
จึงเป็นไปได้ว่านายศักดิ์สยามเป็นหนี้ห้างหุ้นส่วนอยู่ 38 ล้านบาทในสิ้นปี 2562 และไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. สมมติมองในแง่ดีวันที่ 22 เม.ย.2562 มีการโอนเงิน 108 ล้านบาท ให้ห้างหุ้นส่วนตามเอกสาร
นายปกรณ์วุฒิ ยังกล่าวว่า พิรุธในประการต่อไปเมื่อพิจารณาเอกสารชี้แจงจะพบว่า ห้างหุ้นส่วนได้ระบุว่า นายศักดิ์สยามกู้ยืมเงิน 4 ครั้ง ตั้งแต่ในปี 2559, 2560,2561 ระบุยอดตรงกัน 69 ล้านบาท ซึ่งตรงกับการกู้ยืมครั้งที่ 3 - 4 รวมกัน แต่การกู้เงินครั้ง 1-2 เป็นจำนวนเงิน 39 ล้านบาท จึงตั้งคำถามว่า ทำไมไม่เคยปรากฏในงบการเงินแม้แต่ครั้งเดียว และยอดเงินจำนวนดังกล่าวมาจากไหน
พร้อมกันนี้ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า อาจไม่ได้มีการชำระหนี้และยังมียอดหนี้คงค้างตามงบการเงิน จึงใช้วิธีหายอดเงินที่มีการโอนเข้าห้างหุ้นส่วนจริง ๆ ซึ่งอาจเป็นการทำธุรกรรมเพื่อการอื่นมากล่าวอ้างว่า เป็นการใช้หนี้แต่ยอดเงินดังกล่าวไม่ตรงกับ 69 ล้านบาท จึงต้องสร้างยอดหนี้ใหม่ที่ไม่เคยปรากฏ ทำสัญญาเงินกู้ขึ้นมา ที่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีการติดอากรแสตมป์ที่จะมีการประทับวันที่มีผลทางกฎหมายเป็นทางการหรือไม่ โดยชี้ว่า เป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่จะสืบสวนต่อไป
อ่านข่าว "ศักดิ์สยาม" ขอเลื่อนส่งเอกสารชี้แจงคำร้องวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีออกไป 30 วัน
ข้อสงสัยมากที่สุด คือ ตัวเลขในการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินไม่สอดคล้องกับการขายหุ้นของห้างหุ้นส่วนดังกล่าว หากขายจริงและได้รับเงิน 120 ล้านบาทจริงในเดือน ม.ค.2561 เหตุใดในการยื่นทรัพย์สินในช่วง 16 เดือนหลังจากนั้นกลับมีเงินสดซึ่งเป็นเงินฝากเพียงจำนวน 76 ล้านบาท ซึ่งหากเป็นตัวเลขจริงอาจเป็นการใช้เงิน ที่ไม่ใช่การซื้อทรัพย์สินอย่างน้อย 40 ล้านบาทภายใน 16 เดือน และตัวเลข 40 ล้านบาทตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าก่อนเดือน ม.ค.2561 นายศักดิ์สยามไม่มีเงินเลยแม้แต่บาทเดียว
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจปี 65
พร้อมหยิบยกคำชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของนายศักดิ์สยามว่า เงินจากการขายหุ้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่จะนำไปใช้ จึงไม่จำเป็นรายงานต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงตั้งข้อสงสัยว่า หากมีการจ่ายเงินคืนหนี้สินในวันที่ 22 เม.ย.2562 เหตุใดนายศักดิ์สยามจึงไม่นำข้อมูลหลักฐานมาชี้แจงในสภา ซึ่งหนี้สินก้อนนี้ คือ ฟางเส้นสุดท้ายในการยึดโยงนายศักดิ์สยามกับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า หากมีการชำระหนี้ไปแล้วจริงจะเป็นหลักฐานสำคัญว่า ได้ตัดขาดจากห้างหุ้นส่วนแห่งนี้โดยเด็ดขาด และจะสามารถหักล้างข้อสงสัยได้ทันทีทันใด แต่นายศักดิ์สยามไม่ชี้แจงว่า นำเงินจากการขายหุ้นมาใช้คืนหนี้สินให้กับทางหุ้นส่วนจำกัดแห่งนี้มูลค่า 108 ล้านบาท
อ่านข่าว ศาลรัฐธรรมนูญ ยืนคำสั่ง "ศักดิ์สยาม" หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรี
นอกจากนี้ยังระบุว่า ยังพบพิรุธในเอกสารที่ได้ส่งที่แจ้งต้องถามรัฐธรรมนูญหลายจุดเช่น นายศักดิ์สยามให้ขอเอกสารจากห้างหุ้นส่วนฯ เป็นเอกสารใบรับวางบิล หุ้นส่วนฯ ผู้จัดการคนใหม่ได้เข้ามาควบคุมเซ็นเอกสารตั้งแต่ต้นปี 2561 ตามที่มีการโอนหุ้นจริง
พร้อมกันนี้ ยังเปิดเผยว่า ได้ยื่นรายชื่อพยานต่อศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 22 คน และรายชื่อพยานเอกสารหลายรายการเพื่อให้ศาลเรียกเพื่อหักล้างคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของนายศักดิ์สยาม และยังพบรายการเดินบัญชี 27 บัญชีของนายศักดิ์สยามและผู้เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันยังเปิดเผยว่า มีทีมงานเพื่อชี้เบาะแสผู้ที่น่าเชื่อว่า ร่วมกันกระทำความผิดฐานฟอกเงินที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจปี 65
จึงขอเรียกร้องไปยังองค์กรอิสระ ทั้ง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ เรียกศรัทธาจากสังคมและการปฏิบัติกับทุกคำร้อง ตามกฎหมายตามกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม และมาตรฐานในการทำงานที่กำลังถูกสังคมจับจ้องตั้งคำถาม
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า เวลาประมาณ 9 - 10 เดือน ที่ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.และฝั่งศาลรัฐธรรมนูญก็มีเวลาใกล้เคียงกันแต่มีความคืบหน้าไปแล้ว ขณะนี้รอเพียงศาลรัฐธรรมนูญเรียกพยานบุคคลไปให้ข้อมูลเพิ่มเติม
เมื่อถามว่า หากเทียบเคียงกับคดีของ สส.ก้าวไกล ความรวดเร็วและการทำงานแตกต่างกันอย่างไร นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า คงไม่ใช่แค่เรื่องนี้และเรื่องนี้คงเป็นแค่เรื่องหนึ่ง
หากย้อนไปตั้งแต่ยุคของ คสช.ที่มีการยื่นคุณสมบัติของรัฐมนตรีแต่ละกรณีพิจารณาไม่ต่ำกว่า 300 กว่าวันหรือก็มากกว่านั้น แต่หากเป็นเคสของพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ก็จะค่อนข้างรวดเร็ว
ส่วนที่ต้องยื่นเอกสารใหม่อีกครั้งที่ ป.ป.ช.เพราะเป็นหลักฐานเพิ่มเติม และเป็นประเด็นที่แยกย่อยมาจากคำร้องครั้งที่แล้วในคดีซุกหุ้น จึงอยากให้ ป.ป.ช.เรียกดูเอกสารตามอำนาจที่มีทั้งจากธนาคาร และเอกชน รวมถึงราชการที่จะมาเชื่อมโยงได้ว่า ทั้งหมดที่มีการกล่าวอ้างจริงหรือไม่ และตัวเลขหนี้ที่คงค้างอยู่ในงบการเงินนั้น เป็นความผิดพลาดทางงบการเงิน หรือเป็นความผิดพลาดที่ไม่เคยมีการใช้หนี้มาก่อน
เมื่อถามว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลที่มีการพูดถึงพรรคอันดับที่ 3 จะมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลด้วยหรือไม่ เพราะมีการแถลงในช่วงที่เป็นกระแสเรื่องนี้ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ตนได้รับทราบว่า มีเอกสารชุดนี้เมื่อประมาณ 4 สัปดาห์ที่แล้วจาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ พรรคประชาชาติ ช่วงที่ผ่านมาตนก็ได้ยังไม่มีเวลาที่จะดูเรื่องนี้
อ่านข่าว รอด! มติศาล รธน.ไม่รับคำร้อง"ศักดิ์สยาม" แปรญัติงบเอื้อบริษัท
แต่หลังจากเปิดประชุมสภาแล้ว และได้มีเวลาดูเอกสารประมาณ 1 สัปดาห์ จึงทำเรื่องนี้เสร็จเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (22 ก.ค.66) จึงนำมาสู่การแถลงข่าวโดยไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องรออะไรในการที่จะไปยื่น เพราะหากรอไปเกิดมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น อาจจะไม่ทันการ จึงคิดว่าจะต้องยื่นทันที
ส่วนจะกระทบไปยังการจัดตั้งรัฐบาลที่มีการขอเสียงพรรคภูมิใจไทยหรือไม่นั้น มองว่า เป็นการทำหน้าที่ตามปกติ เพราะตนก็ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว และยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเอง รวมไปถึงยื่นต่อ ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญเอง ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไม่ทำ
ส่วนเรื่องการร่วมรัฐบาลหรือไม่ร่วมรัฐบาลเคยประกาศชัดเจนอยู่แล้วว่า ต่อให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ หรือไม่ได้เป็นนายกฯ ก็จะตรวจสอบรัฐมตรีทุกคน ไม่เว้นแม้แต่รัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล รวมไปถึงประเด็นเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ที่ได้เซ็นไว้ใน MOU ของ 8 พรรคร่วมด้วย
ส่วนจะเป็นการสื่อสารว่า ไม่เอาพรรคภูมิใจไทยหรือไม่นั้น นายปกรณ์วุฒิ ย้ำอีกว่า จริง ๆ ก็ไม่ใช่ไม่ว่าเราจะร่วมหรือไม่ร่วม ในท้ายที่สุดเราก็ต้องทำงานตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน รวมไปถึงพรรคตัวเองด้วยที่เข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หากมีพฤติกรรมอย่างไรที่ไม่ดีหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเจรจา เพราะการเจรจาร่วมรัฐบาลในตอนนี้เป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยและทีมเจรจาของพรรคก้าวไกล ซึ่งตนไม่ได้อยู่ในทีมเจรจา
นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล
เมื่อถามว่า ยอมรับหรือไม่ว่า จะกระทบกับการจัดตั้งรัฐบาลนั้น มองว่า ไม่กระทบ เพราะถือว่าเป็นระบบปกติ ทุกคนทราบอยู่แล้วว่า ดีเอ็นเอของพรรคก้าวไกลเป็นแบบนี้ ตนคิดว่า ถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลและนายพิธาได้เป็นนายก ภาพของการที่พรรคก้าวไกลตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองคงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเท่าไร
ดังนั้น เมื่อเคยพูดแบบไหนก็ทำแบบนั้น ดีกว่าวันนี้แกล้งทำเป็นหลับหูหลับตาแล้ววันหนึ่งเรากลับมาตรวจสอบเขาอย่างเข้มข้น ตนคิดว่าเป็นภาพที่ดูไม่งามเท่าไร ซึ่งตนคิดว่า การตรวจสอบการทุจริตไม่มีเวลาที่ไม่เหมาะสม ในการยืนยันสิ่งที่ถูกต้อง
ส่วนจะบีบให้ทางเลือกเหลือน้อยลงหรือไม่ เพราะหากไม่เอาพรรค 2 ลุง ก็จะเหลือทางเลือกเดียวคือ พรรคภูมิใจไทย โดยมีนายศักดิ์สยามเป็นเลขาธิการพรรค นายปกรณ์วุฒิ ระบุว่า เป็นเรื่องของทีมเจรจาว่าจะไปเจรจาด้วยเงื่อนไขอย่างไร แต่เราก็ยืนยันตรงนี้ว่า เราทำหน้าที่ของเราอย่างต่อเนื่อง ถ้าจะบอกว่าเราต้องรอการเจรจาให้จบก่อน ก็ไม่รู้ว่าการเจรจาจะจบเมื่อไหร่ แล้วจะต้องรอเรื่องที่เราตรวจสอบไว้นานแล้ว ไปอีกนานเท่าไร ดังนั้นจึงมองว่า ไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้ นอกจากทำไปตามกระบวนการตามปกติ
นายปกรณ์วุฒิ เตรียมไปยื่นเอกสารเพิ่มเติมที่ ป.ป.ช.
ทั้งนี้ หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ว่านายศักดิ์สยาม จะยังคงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ เพราะจะมีผลในอนาคต หากคำร้องนี้มีคำวินิจฉัยว่าผิดจริง อย่างน้อยก็ทำให้ไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้อีกอย่างน้อย 2 ปี จากนั้นในเวลา 11.30 น. นายปกรณ์วุฒิเดินทางไปยัง ป.ป.ช. เพื่อยื่นหนังสือให้ตรวจสอบการยื่นบัญชีทรัพย์สินของนายศักดิ์สยามต่อไป
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ป.ป.ช.กางทรัพย์สิน "ศักดิ์สยาม" หลังพ้นเก้าอี้มูลค่า 110 ล้าน
ศาล รธน.สั่งผู้เกี่ยวข้องส่งหลักฐานเพิ่ม คดีหุ้น "ศักดิ์สยาม"