วันนี้ (15 พ.ค.2567) นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวว่า จากการสำรวจตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศจำนวน 2,242 คน พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือน เม.ย.67 อยู่ที่ 62.1 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ในรอบ 9 เดือนนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2566 เป็นต้นมา
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ
สาเหตุที่ทำให้ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงมาจากผู้บริโภคเริ่มกลับมากังวลว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซลและผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามในตะวันออกกลางที่อาจยืดเยื้อบานปลาย อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวล่าช้าของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันเริ่มมีความผันผวนมากขึ้นในมุมมองของผู้บริโภค
นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไม่โดดเด่นมาจาก 3 สัญญาณ คือ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ค่าครองชีพสูงตามไปด้วย ทำให้ความเชื่อมั่นลดลง และกังวลเรื่องเงินเฟ้อ จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท เสถียรภาพการเมืองที่ไม่นิ่ง คนไม่แน่ใจ กระแสต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งการปรับครม. การลาออกของรัฐมนตรี และ เศรษฐกิจฟื้นช้า
แม้งานสงกรานต์คึกคัก แต่ก็ไม่สามารถกระตุกเศรษฐกิจขึ้นได้มาก การจับจ่ายซื้อสินค้าถูกกลบด้วยต้นทุนค่าครองชีพที่สูงขึ้น รวมถึงปัจจัยเรื่องเสถียรภาพการเมือง. ขณะเดียวกัน ประชาชนยังมองว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า และฟื้นตัวไม่ทั่วถึง
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า แม้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 แต่ยังไม่ถือว่าเป็นขาลง เพราะหากจะเป็นขาลงต้องเป็นการลดลงต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือนติดต่อกัน ซึ่งความเชื่อมั่นของผู้บริโภค น่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ ในระยะต่อไป จากแรงกระตุ้นของนโยบายการคลังของรัฐบาล โดยเฉพาะงบลงทุน 7 แสนล้านบาทที่จะเริ่มลงในระบบเศรษฐกิจในเดือน ก.ค.หรือส.ค.ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มเป็นเดือนละ 5 หมื่นล้านหรือ 1 แสนล้านล้านบาท
ทั้งนี้ม.หอการค้าไทยยังไม่ได้ปรับประมาณการณ์จีดีพีปี67 ยังคงไว้ที่ 2.6 % ไม่รวมดิจิทัลวอลเล็ตและการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งการปรับค่าแรงขั้นต่ำมีผลกระทบแน่ แต่เงินดิจิทัลออกมาใช้ได้ในช่วงปลายปีประกอบกับงบลงทุนก็ยังมีโอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจกิจไทยขยายตัวได้ 3 %
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC-CI) เดือน เม.ย.ม.ค. 67 ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจ และหอการค้าทั่วประเทศ จำนวน 369 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 23-30 เม.ย.67 พบว่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 55.3 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 55.2 ในเดือนมี.ค. มีปัจจัยบวกจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมามากขึ้นทำให้ภาคการท่องเที่ยงและบริการภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น
ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น หรือทรงตัว ส่งผลให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้สูงขึ้น และมีกำลังซื้อในต่างจังหวัดเริ่มปรับตัวดีขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐ เพื่อเป็นการสนับสนุนการมีที่อยู่อาศัยของประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
ความหวังของประชาชนจากการมีสัญญาณของการขึ้นค่าจ้างงาน และเริ่มจะมีในการจับจ่ายใช้สอยที่กลับมามากขึ้น แต่ยังคงมีการระวังการเลือกซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการยังกังวลกับการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ต่อปี การส่งออกของไทยเดือน มี.ค. 67 ติดลบ ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลง ภัยแล้งที่จะกระทบต่อผลผลิตภาคเกษตร ความกังวลในเรื่องของต้นทุนทางการผลิตสูง
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจมีข้อเสนอแนะคือ ขอให้รัฐบาลกาบริหารจัดการน้ำให้มีใช้เพียงพอกับภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคครัวเรือนหาแนวทางการแก้ไขหรือมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการ หากมีการขึ้นอัตราค่าแรงขั้นค่าขึ้นตามประกาศรัฐบาลมาตรการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจรวมทั้งแนวทางการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้มีการจับจ่ายซื้อของเพื่อเพิ่มกำลังซื้อในพื้นที่ การดูแล และรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และการค้าการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
อ่านข่าว:
บอร์ดค่าจ้างยังไม่สรุปขึ้นค่าจ้าง 400 - ยกเลิกสูตรคำนวณใหม่
ราคาทองคำเช้านี้ ปรับขึ้น 50 บาท "ทองแท่ง" บาทละ 40,800
1.4 แสนร้านค้า จ่อเข้า"ดิจิทัลวอลเล็ต"พณ.ย้ำชัดเงินเข้ากระเป๋าปลายปี