อย่าเอาการเลี้ยงลูกของตัวเองมาเปรียบเทียบกับบ้านอื่นเลย เพราะคุณไม่ได้อยู่กับเรา 24 ชั่วโมง รู้ได้ไงว่าเค้าเลี้ยงลูกไม่ดี
นี่เป็นข้อความของแม่เด็กวัย 1 ขวบ 7 เดือน ที่โพสต์ผ่านโซเชียลมีเดีย หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ถึงความไม่เหมาะสม ที่เธอโพสต์คลิปวิดีโอ "ลูกดื่มน้ำกระท่อมและสูบบุหรี่ไฟฟ้า"
โพสต์ดังกล่าวเพจสายไหมต้องรอด ประสานเจ้าหน้าที่และเข้าไปช่วยเหลือเด็ก โดยแม่ของเด็ก เป็นเยาวชนที่มีอายุเพียง 17 ปี ยอมรับว่า ลูกสูบบุหรี่ไฟฟ้าตามคลิปวิดีโอจริง เริ่มสูบมาได้ 5 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่อายุ 1 ขวบ 2 เดือน อ้างว่า เป็นการสูบโดยสมัครใจ ไม่ได้บังคับ หากไม่ให้สูบ ลูกจะร้องงอแง ส่วนที่ถ่ายคลิปเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขณะที่ยายของเด็ก บอกว่า จะรับเอาหลานมาเลี้ยงดูเอง และจะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก
นายอภิวัฒน์ วิริยาภิรมย์ หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัว จ.สระบุรี ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พาครอบครัวเด็ก ไปที่สถานีตำรวจภูธรเมืองสระบุรี เพื่อแจ้งความให้ดำเนินคดีกับแม่เด็ก ในความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก นอกจากนี้ ตำรวจเตรียมขยายผลว่า แม่เด็กซื้อบุหรี่ไฟฟ้ามาจากที่ใด หากพบแหล่งที่ขายก็จะดำเนินคดีต่อไป
นายอภิวัฒน์ ระบุว่า จะใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก แยกเด็กไปดูแลก่อน และจะพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย ว่าได้รับผลกระทบจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ จะมีทีมสหวิชาชีพ ลงพื้นที่ไปดูสภาพความเป็นอยู่ที่บ้านของเด็ก เพื่อประเมินความพร้อมในการเลี้ยงดู หากพบว่า ครอบครัวไม่สามารถดูแลเด็กได้ ทาง พม.ก็จะเป็นผู้ดูแลเอง
แพทย์แนะเร่งให้ความรู้เรื่องอันตรายจาก "บุหรี่ไฟฟ้า"
ขณะที่ รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงเริงฤดี ปธานวนิช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี นักวิชาการที่ขับเคลื่อนเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลกระทบกับเด็กและเยาวชน สะท้อนว่า ยังมีประชาชนจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ทราบถึงโทษของบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะผู้ปกครอง ต้องมีความรู้เท่าทัน รวมทั้งยังสะท้อนถึงปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น ว่าอาจจะไม่ได้มีเคสนี้แค่เคสเดียว และกรณีนี้เป็นเด็กอายุน้อยที่สุดเท่าที่พบว่าสูบบุหรี่ไฟฟ้า
นักวิชาการเสนอว่า ควารเร่งแก้ปัญหาระยะยาว เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ในครอบครัวอื่น โดยต้องให้ความรู้กับประชาชน ถึงอันตรายจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้าผ่านสื่อที่ประชาชนเข้าถึง โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงเข้าถึง และใช้บุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเพิ่มการรณรงค์มากขึ้นด้วย
อ่านข่าวอื่น :