ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ขึ้นค่าแรง 400 บาท สนค.ชี้กระทบเงินเฟ้อเพียง0.15-0.30%

เศรษฐกิจ
8 ม.ค. 68
11:01
211
Logo Thai PBS
 ขึ้นค่าแรง 400 บาท สนค.ชี้กระทบเงินเฟ้อเพียง0.15-0.30%
สนค.เผย ค่าแรงปรับ 400 บาท เพิ่มขึ้นวันละ 7-55 บาท ต่ำสุดวันละ 337 บาท มีผลบังคับใช้ 1 ม.ค.68 กระทบเงินเฟ้อแค่ 0.15-0.30% เผยกลุ่มค่าน้ำมัน ทางด่วน ไม่กระทบ ชี้ขึ้นกับนโยบายรัฐ อาหารมีแนวโน้มทรงตัว ไม่จำเป็นต้องขึ้นราคา

วันนี้ ( 8 ม.ค.2567) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า สนค.ได้วิเคราะห์ ผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไป หลังจากราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568 ที่แบ่งเป็น 17 อัตรา เพิ่มในอัตราวันละ 7 - 55 บาท (เฉลี่ย 2.9%) โดยมีอัตราสูงสุด คือ วันละ 400 บาท และอัตราต่ำสุด คือ วันละ 337 บาท

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

พบว่า จะส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อประมาณ 0.15 - 0.30% และทำให้อัตราเงินเฟ้อในปี 2568 จะยังอยู่ในช่วง 0.3 - 1.3% (ค่ากลาง0.8% ) ตามที่ สนค. ได้คาดการณ์เมื่อเดือนธ.ค. 2567

ทั้งนี้สนค. วิเคราะห์ผลกระทบโดยใช้ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และข้อมูลจำนวนผู้ใช้แรงงานที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ แบ่งกลุ่มสินค้าและบริการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำได้ 6 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 สินค้าและบริการที่มีการกำกับดูแลโดยภาครัฐ คิดเป็นประมาณ 22% ของน้ำหนักสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ ค่าน้ำประปา ค่ากระแสไฟฟ้า น้ำมันดีเซล แก๊สโซฮอล์ ค่าการศึกษา ค่าทางด่วน ค่าเดินทางสาธารณะ และค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น

โดยการปรับราคาสินค้าและบริการเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับมาตรการภาครัฐ ดังนั้น การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้จะไม่ส่งผลให้สินค้าและบริการในหมวดนี้ปรับตัวสูงขึ้น

กลุ่มที่ 2 สินค้าและบริการที่มีการผลิตในระบบอุตสาหกรรม และเป็นสินค้าที่มีการใช้ในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ คิดเป็น25% ของน้ำหนักสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ สินค้าในหมวดเครื่องประกอบอาหาร (น้ำตาล เกลือ น้ำมันพืช) เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ (น้ำดื่ม กาแฟ น้ำหวาน) ของใช้ส่วนบุคคล (ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม แปรงสีฟัน กระดาษชำระ) และสินค้าคงทนต่าง ๆ (เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ รถจักรยานยนต์)

เนื่องจากกระบวนการผลิตของสินค้าส่วนใหญ่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมมีการใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรในการผลิตเป็นส่วนใหญ่ มีการใช้แรงงานขั้นต่ำน้อย ทำให้อาจจะไม่มีการปรับเพิ่มราคาสินค้าและบริการในกลุ่มนี้ตามการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ

กลุ่มที่ 3 สินค้าที่มีการใช้แรงงานสูงแต่การส่งผ่านราคาสู่ผู้บริโภคไม่มากนัก คิดเป็นประมาณ 22% ของน้ำหนักสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ สินค้าในภาคการเกษตร ทั้งผักสด ผลไม้สด พืชไร่ และปศุสัตว์ เนื่องจากภาคการผลิตเหล่านี้มีการใช้แรงงานในสัดส่วนที่สูง แต่ไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังราคาสินค้าได้

เนื่องจากราคาสินค้าถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน ดังนั้น การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งนี้จะไม่ส่งผลให้สินค้าในหมวดนี้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรมีนโยบายดูแลภาคการผลิตเหล่านี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบให้รายได้สุทธิลดลง

กลุ่มที่ 4 สินค้าและบริการที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ คิดเป็นประมาณ 16%ของน้ำหนักสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ อาหารสำเร็จรูป (บริโภคในบ้านและบริโภคนอกบ้าน) โดยเฉพาะอาหารจานด่วน อาหารตามสั่ง ข้าวราดแกง และกับข้าวเป็นถุง

เนื่องจากมีต้นทุนการใช้แรงงานสูง ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กที่มีความสามารถรองรับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนได้ต่ำ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนอื่น ๆ ของอาหารสำเร็จรูปในปี 2568 มีแนวโน้มลดลง ทั้งราคาผักสดที่ลดลงจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยในการเพาะปลูกมากขึ้น ไข่ไก่ที่ราคายังมีแนวโน้มลดลง เนื้อสุกรที่มีการปรับราคาสูงขึ้นไม่มาก รวมทั้งเครื่องประกอบอาหารมีแนวโน้มทรงตัว ดังนั้น การปรับเพิ่มขึ้นของค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลกระทบต่ออาหารสำเร็จรูป ในปี 2568 ไม่สูงมากนัก

กลุ่มที่ 5 ค่าเช่าบ้านและที่พักอาศัย คิดเป็นประมาณ 14% ของสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ โดยการปรับขึ้นค่าเช่าบ้านและที่พักอาศัยขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทานมากกว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ประกอบกับในปี 2568 ภาคอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มฟื้นตัวต่ำจะเป็นปัจจัยกดดันให้ค่าเช่าบ้านและที่พักอาศัยยังอยู่ในระดับต่ำ หรืออาจไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ

และกลุ่มที่ 6 ค่าบริการที่มีการใช้แรงงานมีฝีมือหรือทักษะสูง คิดเป็นประมาณ 1% ของน้ำหนักสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ ค่าตัดผม ค่าแรงช่างไฟฟ้า ค่าแรงช่างประปา ค่าแรงช่างก่อสร้าง ค่าบริการล้างแอร์ ค่าดูแลผู้สูงอายุ ค่าคนรับใช้/ คนทำงานบ้าน และค่าจ้างเฝ้าไข้ผู้ป่วย เป็นต้น

ในภาพรวมค่าแรงหรือค่าจ้างในภาคบริการเหล่านี้สูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้ว ดังนั้น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลให้ค่าบริการเหล่านี้ปรับเพิ่มไม่มาก หรืออาจจะไม่มีการปรับขึ้นค่าบริการ

ผอ. สนค. กล่าวต่อว่า การจัดกลุ่มสินค้าและบริการออกเป็น 6 กลุ่มตามผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ จะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถติดตามสถานการณ์ของแต่ละกลุ่มได้อย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ คาดว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งนี้ จะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อค่อนข้างน้อย เนื่องจากปัจจัยด้านมาตรการช่วยเหลือลดค่าครองชีพของภาครัฐ รวมทั้งอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ และลดภาระหนี้สินครัวเรือน ทำให้การจับจ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้และกำไรสุทธิของผู้ประกอบการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ

อ่านข่าว:

 ครม.เคาะกรอบงบ 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้าน นายกฯ กำชับใช้คุ้มค่า

ไม่เลื่อน! ตรุษจีนนี้จ่ายเงิน 10,000 เฟส 2 กลุ่มสูงอายุ

น้ำมัน อาหาร-เครื่องดื่มขึ้น ดันเงินเฟ้อปี67 พุ่ง 0.4%

ข่าวที่เกี่ยวข้อง